สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

เรื่อง จิตนี้คืออะไร ตอนที่ 1

เรื่อง จิตนี้คืออะไร ตอนที่ ๑ - ๒

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)

แสดงธรรมแก่พุทธบริษัท ณ วัดหนองป่าพง

๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๓

เจริญพรท่านสาธุชนทั้งหลาย

วันนี้ ได้รับนิมนต์มาเล่าอีกแล้ว พวกเราทุกคนยังมีชีวิตให้เป็นประโยชน์อยู่จนทุกวันนี้ก็นับว่าเป็นบุญกุศลของพวกเราท่านทั้งหลาย มาคราวนี้คงจะแสดงธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะว่าปีนี้ลมมันจะหมดแล้วเสียงมันก็น้อยท่านก็ต้องเข้าใจ นึกถึงคำของพระพุทธองค์ท่านตรัสว่า “ขะยะวะยัง” ไอ้ความสิ้นไปเสื่อมไปแห่งสังขารเป็นธรรมดา มันทนเหนือธรรมดาไปไม่ได้ เป็นอย่างนี้ คล้าย ๆ ว่าขี้ผึ้งก้อนใหญ่ ๆ ขนาดนี้ เอาไปวางกลางแจ้งตากแดดน่ะ มันก็ค่อย ๆ เสื่อมไปทีละน้อย ๆ หลายนาที หลายชั่วโมงก้อนขี้ผึ้งมันก็หมด นี่แหละ “ขะยะวะยัง” ไอ้ความสิ้นความเสื่อมเป็นธรรมดาอย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน

ทุก ๆ คนที่มารวมกันในศาลาโรงธรรมวันนี้คงพร้อมแล้วทุกคนนะ คู่มือของข้อปฏิบัติคงจะเตรียมพร้อมมาทุกคน มีอะไรบ้างล่ะ กายก็เอามา ใจก็เอามา วาจาก็เอามา หรือจะย่นให้น้อยไปกว่านั้นอีก กายก็เอามากับจิตนั้น ๒ อย่างแค่นี้พอแล้ว หรือใครเอาอะไรไว้บ้านมั่ง เอามาแล้วนะ นี่คือข้อปฏิบัติย่อที่สุดแล้ว เอามาแล้วทุกอย่างคือข้อปฏิบัติทุกอย่างเริ่มแล้ว

วันนี้ก็ขอโอกาสสักหน่อยว่า ญาติโยมวันนี้คงจะไปทัศนาจรมาหลายแห่ง คงจะเห็นสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณอาคมนำไป ไปจบลงที่ถ้ำแสงเพชร เห็นศาลาหลังใหญ่ไหม ? ศาลาหลังนั้น อาตมาถ้าไม่สบายก็จะขึ้นไปอาศัย ไปพักผ่อน ถ้าขึ้นไปศาลาหลังนั้น ก็จะนึกถึงชาวตะวันตก เย็น มันสบาย กลางคืนมาก็ไม่มียุงสักนิด อยู่อย่างนั้น ศาลาหลังนั้น ไปนั่งอยู่ตรงนั้น ไปทำความเพียร ไม่ง่วงนอน อยู่ไปคล้าย ๆ จิตของเราเหมือนเด็กมีอะไรเล่นของมันนั่นแหละ มันสบายตลอดคืน เป็นสถานที่ ๆ สมควรมากที่จะปฏิบัติตรงนั้น ใครเป็นทุกข์ทางใจก็ไปถูกอากาศตรงนั้นก็ค่อย ๆ สบาย สงบระงับ อันนี้โยมบางท่านก็คงจะไม่เคยไป วันนี้ท่านก็ได้ไปแล้ว นอกนั้นมาก็เป็นสาขาย่อย ๆ สาขาของวัดหนองป่าพงตามถนนมันมีสาขาของวัดหนองป่าพงทั้งนั้นแหละ ญาติโยมก็ไปกันทางนั้น ทุกแห่งก็เข้าอกเข้าใจกัน ดังนั้น ก็เห็นใจญาติโยมทั้งหลายเหมือนกัน เดินทางมา สถานที่ ๆ ไม่เคยไป บุกโคลน บุกตมไป จากบ้านมาก็ไม่สบาย เมื่อใจสบายสงบสบายเพื่อความสบายต่อไป ไอ้ความสบายนี้มี ๒ อย่าง สบายเพื่อความไม่สบายต่อไปก็มีนะ

เรื่องพระพุทธศาสนาของเรานั้น มันเป็นเรื่องของจิต ดังนั้น พระพุทธเจ้าของเรา ท่านจะอบรมจิตอันเดียวเท่านั้น ในจิตเป็นไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นไปตามกัน ฉะนั้น ท่านจึงให้อบรมจิต จิตเป็นของสำคัญมาก พระพุทธองค์ของเราท่านคลำไปคลำมาดูไปดูมา อ้อ มันอันนี้เอง

จิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พุทธศาสนามันเกี่ยวเนื่องด้วยจิต เรื่องจิตเป็นสิ่งที่สำคัญ ยกตัวอย่างที่อาตมาเคยแนะนำพร่ำสอนชาวต่างประเทศ เวลาไปไม่ได้ภาษาอังกฤษสักนิดหนึ่งเลยนะ ภาษาอังกฤษไม่รู้สักนิดเดียว แต่ว่าได้จิตฝรั่งเยอะ ไม่ได้ทำนาแต่ข้าวเยอะ ไม่รู้มาจากไหน ให้ไปคิดเอา ให้ไปพิจารณาเอา

อันนี้เป็นเรื่องของจิต จิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด พระพุทธองค์เราท่านสอนว่า “นิรุตติภาษา” แตกฉานในภาษา ท่านเรียกว่า “นิรุตติภาษา” แตกฉานทุกอย่างในภาษานี้ ทุกวันนี้ยังมีอยู่แต่คนไม่รู้จักว่าแตกฉานอะไรอย่างไร จะงัดแงะให้ดูพอได้พิจารณา ภาษานี้ไม่ใช่คำพูดอย่างเดียว เราทั้งหลายทำเหมือนว่าภาษาต้องไปเรียนคำพูด คำพูดอย่างเดียวเป็นภาษา เรียนกันแทบแย่ไม่จบเหมือนกัน ความเป็นจริงพระพุทธองค์ของเราท่านให้มองดูนิรุตติภาษา รู้จักภาษาทุกอย่าง อะไรที่ทำให้คนเข้าใจ อันนั้นเป็นภาษาทั้งนั้น ให้เข้าใจอย่างนี้เป็นหลักซะก่อน ภาษาเราจึงจะมาก อะไรที่เราจะทำให้รู้จักรู้เรื่องอันนั้นเป็นภาษาทุกอย่างเราดูตรงนี้ก่อน

เช่นว่าอบรมเรื่องพระพุทธศาสนานี้ โดยมากคนเราทำไมข้ามไปมากทีเดียว อันความเป็นจริงนั้น พระพุทธศาสนามันเกี่ยวกับเรื่องจิตใจจริง ๆ พุทธศาสนานี้ มันให้ความรู้สึกของคนมันคล้าย ๆ กับน้ำชามันร้อน ๆ ต้มน้ำชาร้อน ๆ เอาใส่แก้วมา เอาคนจีนเอามือไปจุ่มดูซิ มันจะรู้สึกว่ามันร้อน เอาคนไทยเอามือจุ่มลงไปซิ มันก็รู้สึกว่ามันร้อน เอาคนอินเดียเอามือจุ่มลงไปซิ มันก็จะรู้สึกว่ามันร้อน เอามือเขมรจุ่มลงไปซิ มันก็จะรู้สึกว่ามันร้อน เอาพวกฝรั่งเอามือฝรั่งจุ่มลงไปดูซิ มันก็จะรู้สึกว่ามันร้อน นี่แหละคืออันเดียวกัน เข้าใจไหม ร้อนนี้ภาษาจีนก็พูดไปอย่างหนึ่ง แต่พูดว่าร้อนนั่นเอง ภาษาไทยก็ว่าร้อน ภาษาอังกฤษก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ร้อนนั่นแหละ เขาจะพูดว่ามันฮอต (hot) เราเรียกว่ามันร้อน มันก็ฮอตนั่นเองแหละ มันคำ ๆ เดียวอย่างนี้

นี่แหละธรรมะที่พอเราเข้าไปถึงแล้ว มันก็รู้จักเหมือนกับเอามือไปจุ่มน้ำร้อน ใครจะไม่รู้ว่าร้อน ทุกภาษามันก็ต้องรู้ร้อนทั้งนั้น แต่ภาษาคำพูดมันต่างกัน ธรรมะนี่ก็เหมือนกัน ถ้าใครไปถึงธรรมะเข้าถึงใจแล้ว รู้เรื่องกัน มันสงบสบายอย่างนี้ก็รู้ภาษากันแล้ว ยิ่งธรรมะยิ่งรู้อย่างนี้ก็เป็นอัตโนมัติแล้ว ไม่ต้องสอนมาก

รู้จักอะไรที่เป็นเหตุให้เราวุ่นวาย อะไรเป็นเหตุให้ใจสงบ มันก็รู้ในตัวของมันแล้ว ทุกอย่างรู้จากธรรมะ ทุกคนเมื่อใครไปถึงธรรมะต้องรู้จักทุกคน รู้จักอย่างนี้เหมือนมือเราไปจุ่มน้ำร้อน เมื่อน้ำมันร้อนมันไม่รู้สึกว่ามันเย็นหรอก มันร้อน ถ้ามือเราจุ่มน้ำเย็นมันก็ไม่รู้สึกว่ามันร้อนหรอก เรียกว่ามันเย็น เนี่ยมันรวมกันอย่างนี้ อย่างน้อยมันรวมกันอย่างนี้

เพราะฉะนั้น พวกเราทุกคนที่มานั่งอยู่นี้ จะพูดว่ามันเป็นคนคนเดียวกันก็ได้ ไม่ใช่คนหลายคน คือคนคนเดียวกันถ้าพูดเป็นสามัญลักษณะ ลักษณะก็คล้ายกันทั้งนั้น คล้ายกันเหมือนกัน มีความสุขปรากฏเหมือนกัน มีความทุกข์ปรากฏเหมือนกัน อะไรมันเหมือนกันทั้งนั้น

ดังนั้น พระพุทธองค์ของเราจึงสอนว่าพวกเราเป็นญาติกัน ไม่ห่างกัน เป็นญาติกัน อะไรมันเหมือนกันทังนั้น ฉะนั้น ถ้าอบรมจิตใจเข้าถึงธรรมะแล้ว พวกเราก็เป็นพี่เป็นน้องกันทั้งหมด ไม่ต้องอิจฉา ไม่ต้องพยาบาท ก็มันเป็นคนคนเดียวกันแล้ว เมื่อไรธรรมะเจริญขึ้นคนเราก็สบาย สงบ ระงับ

ดังนั้น ท่านจึงให้แสวงหาบุญ คือทำจิตให้เป็นบุญ อย่าไปเอาอย่างอื่นเลย เอาจิตที่มันเป็นบุญ จิตมันสงบ คล้าย ๆว่าไอ้พวกประชาชนทั้งหลายมาทำบุญกันวันนี้ หรือวันหน้า หรือวันหลังก็ตาม ต้องการความสงบ ไม่ต้องการอย่างอื่น อะไรที่มันทำใจเราไม่ให้สงบ อันนั้นมันพาเราเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้

ดังนั้น เมื่อเรารู้จิตรู้จักใจของเรา รู้จักธรรมะ รู้จักอารมณ์ เป็นคนรู้จักตน ถ้ารู้จักตนแล้วมันก็รู้กันหมดทุก ๆ คน เพราะใคร ๆ ก็เป็นตนกันแล้ว รู้เรื่องของตน คนที่รู้ตนนั้นก็คือคนที่เห็นว่าตนนี้แหละไม่ใช่ตน นี่คือคนรู้ตน รู้ตนไม่มีอุปทานไม่ยึดมั่นถือมั่นคือคนรู้ตน รู้ตนนี้ว่ามิใช่ตน มิใช่เรามิใช่เขา คือคนรู้ตน เป็นอย่างนี้

อันนี้คือธรรมะ อย่าส่งไปข้างนอกให้ส่งเข้ามาข้างใน ฟังธรรมต้องส่งเข้ามาข้างใน อย่างส่งไปข้างนอก ทุกอย่างต้องรวมกันมาให้รู้จัก เห็นคนทำชั่วตรงไหนก็น้อมเข้ามาดู คนทำดีตรงไหนก็น้อมกันมาดู ทุกอย่างให้มันเห็นเฉพาะจิต ให้ปัญญามันเกิดในจิต ให้จิตเป็นผู้มีปัญญา เมื่อจิตที่อบรมดีแล้ว กายก็เท่ากับว่าเราได้อบรมแล้ว อายตนะทั้งหลายก็ได้อบรมแล้ว เมื่อจิตเราเป็นไปแล้ว อันนี้เป็นของใกล้ ๆ

 

ติดตามต่อได้ที่ เรื่อง จิตนี้คืออะไร ตอนที่ ๒ - ๒ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)

view