สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

สกปรกที่ไหนสะอาดที่นั่น

 

เรื่องที่ ๒๐ เรื่อง สกปรกที่ไหนสะอาดที่นั่น

ให้เรามาตั้งใจนั่งสมาธิสักพักหนึ่งเพราะโอกาสที่เราจะนั่งสมาธินี่ก็หาทำได้ยากถ้าสถานที่นั้นไม่สงบ อย่างบ้านเรานี่ก็ไม่ค่อยสงบเท่าไหร่มีอยู่กันหลายคนกว่าจะกลับมาจากที่ทำงานก็มืดค่ำแล้วเหนื่อย เหนื่อยมาทั้งวันใช้ความคิดมามากเมื่อมานั่งนี่มันก็วุ่นไปหมดเพราะความคิดของเราตั้งแต่เช้าจรดเย็นมันก็หลายเรื่องราว และปัญหาบางเรื่องราวเราก็ยังแก้ไม่ตกเมื่อเรามานั่งสมามันก็ต้องผุดขึ้นมาอีกในจิตใจของเรา การทำความสงบเลยทำได้ยาก อย่างบางคนมาถามอาตมาอยากจะทำความสงบทำอย่างไรเร็วที่สุดเลย อยากให้เร็ว ๆ ให้สงบ อาตมาบอกว่าความสงบมันไม่ใช่ของที่จะทำกันได้ง่าย ๆ  เพราะจิตใจของเรา มีความวุ่นวายมามากมาย เอาแค่ช่วงชีวิตหนึ่งของเราที่เราเกิดมาในชาตินี้ จิตของเรา รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มามาก เมื่อรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มามาก สังขาร ความปรุงแต่งก็เยอะ มีข้อมูลมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งวุ่นวายมากเท่านั้นยิ่งสมัยนี้เป็นยุคสมัยของข้อมูลข่าวสารแล้วด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ่ มันตรงกันข้ามกับการทำความสงบเลยเพราะการทำความสงบนี้จิตใจของเราก็ต้องมีสติ เพราะสมัยนี้สติเราก็ไม่ค่อยจะตั้งใจกันมากเท่าไหร่ คิดกันเยอะ การนับหนึ่งถึงสิบนี้จะให้สติมันอยู่ซักสามสี่ครั้งนี่ มันก็ไม่ให้อยู่แล้ว บอกลองนับดูหนึ่งถึงสิบสิบถึงหนึ่งนับกลับไปกลับมาสักสิบห้านาทีนับไปได้สักพักยังไม่ถึงนาทีบ้าง บอกว่าโอ๊ยไม่สงบเลยนับ นับกันไม่อยู่ มันก็คิดโน้นคิดนี่

ขนาดนับเลขธรรมดาจะให้จิตใจของเราอยู่ในอารมณ์เดียว คืออารมณ์การนับเลขมันยังยากเลย แล้วจะเอาของที่มันง่าย ๆ จากการทำความสงบแบบง่ายๆมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะความสงบนี้มีคุณค่าอันมหาสารเมื่อเราได้ความสงบจิตใจของเราก็จะเยือกเย็นและก็จะพิจารณาสิ่งต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องได้ชัด แต่ถ้าจิตของเราไม่สงบนี่มันก็จะใช้ความจำได้หมายรู้พิจารณาไปตามสังขารความคิดปรุงแต่งไป มันก็จะแก้ความทุกข์ไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่ถ้าจิตที่ผ่านความสงบมา เมื่อมาพินิจพิจารณาก็จะชัดเหมือนน้ำที่มันกระเพื่อมอยู่เราจะมองอะไรไปใต้พื้นน้ำมันก็ไม่ค่อยเห็นอะไรเห็นแต่ความกระเพื่อมของน้ำ แต่ถ้าน้ำนั้นมีความนิ่งและมีความใสสิ่งอะไรที่อยู่ใต้น้ำนั้นเราก็จะเห็นหยิบออกได้แล้วก็จะรู้อะไรเป็นโทษอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นประโยชน์ ในสิ่งเหล่านั้น ใจของเราก็เหมือนกันถ้าใจของเราไม่สงบกระเพื่อมอยู่ เราก็จะไม่สามารถเอา ความโลภ ความโกรธ ความหลงออกได้ เพราะจับมันไม่อยู่ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน เห็นมันอยู่จะ ๆ แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้เพราะกำลังจิตของเรามันไม่สงบแต่ถ้าจิตของเราสงบเราก็จะรู้ว่าอันนี้ควรเอาออกอันนี้ควรเอาเข้าเมื่อเราทำความสงบแบบนี้ให้เกิดขึ้นจึงมีอานิสงส์มากจากผลที่จะได้รับจากการกระทำ แต่มันก็ต้องลงทุนด้วยการกระทำทางกาย วาจา ใจของเรานี้ให้สงบให้ได้อันนี้สำคัญ

ถ้าเราต้องการความสุขที่แท้จริงเราก็ต้องแสวงหาแล้วเพราะความสุขอื่นไม่มีพระพุทธเจ้าทรงรับรองแล้ว เพราะความสุขอื่นที่โยมแสวงหากันอยู่ในโลกนี้มันไม่มีไม่ใช่ ไม่มีความสุขที่ถาวรแน่นอน ความสุขที่ถาวรคือความสงบของใจ สงบจากความโลภ สงบจากความโกรธ สงบจากความลุ่มหลงมัวเมา ถ้าเราสงบจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขมันจะมาเองก็เหมือนกับความสะอาด โยมไม่ต้องไปแสวงหามันหรอกโยมทำความสกปรกตรงนั้นให้หายไปตรงไหนที่มีความสกปรก บ้านช่องของเราสถานที่ต่างๆ เสื้อผ้าอะไรก็ตาม เมื่อเราทำความสกปรกตรงนั้นให้มันหมดไปความสะอาดก็เกิดแทนที่กันที่เดียวกันใจของเราก็เหมือนกัน พยายามลด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยสติปัญญาของเราทีละเล็กทีละน้อยตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ให้เราทำ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มันก็จะลดเอง มันไม่ลดเราก็ลดเพราะเราทำเหตุให้มันลด เราทำเหตุแห่งความสงบแห่งความสุขเราก็จะได้รับ แต่ทุกวันนี้เราต้องการผลแต่เหตุเราไม่แสวงหาเลยไม่กระทำลงไป จะให้มันเกิดความสุขขึ้นในชีวิตมันก็คงจะยากเราก็ต้องโทษว่าตัวของเราเองนี่แหละที่ไม่ทำความคิดเห็นหรือทำความถูกต้องให้เกิดขึ้นจากการกระทำต่างๆในชีวิตประจำวันของเราพระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมไว้ก็ยังมีคุณค่าเหมือนเดิมไม่ได้ลดลง ไม่ได้เพิ่มขึ้น เสมอต้นเสมอปลาย

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ที่ประกาศไว้สอนไว้คนได้ที่นำไปประพฤติปฏิบัติก็ยังได้ผลเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่เหมือนกันไม่แตกต่างกันเลยถ้าธรรมะมันแต่ต่างกันมันก็ไม่ยุติธรรมมันก็จะมีการเอียงแต่ธรรมะนี้ยุติธรรมไม่เอียงบุคคลใดนำไปประพฤติปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่เป็นคนรวยคนจน เป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นใครก็ตามอยู่ในโลกนี้ชาติไหนภาษาไหนก็ตามย่อมได้รับผลแห่การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นๆเหมือนกัน ท่านบอกให้ละความชั่วทางกายวาจาเราละหรือยังล่ะความชั่ว ท่านให้บำเพ็ญความดีเราบำเพ็ญหรือยัง ความดีทั้งหลายและพยายามทำจิตใจนี้ให้ผ่องใส จิตใจของเราผ่องใสหรือยังวัน ๆ หนึ่งหรือว่าเราขุ่นมัวในเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เราวางมันไม่ได้ ละมันไม่ได้ มันเป็นเหมือนน้ำฝาดที่ย้อมติดผ้าไว้ อารมณ์หนึ่งมันเหมือนย้อมใจของเราไว้ให้เหนียวแน่นให้ติดให้ยึดหมายมั่นไว้วางไม่ได้สักที เราต้องเอาธรรมะนี่แหละ คือเอาทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปฟอก ๆ จิตใจของเราด้วยการมีสติ สัมปชัญญะมากๆ กำหนดรู้บ่อย ๆ ระลึกรู้บ่อย ๆ ในคุณงามความดีของเรา สติจึงเป็นพ่อแม่แห่งธรรมไง สติ คือการระลึกรู้นี่ถ้าเรามีสติทีหนึ่งธรรมะก็เกิดขึ้น อย่างหลวงปู่เทศท่านก็บอกแล้วว่า มีสติมาก ๆ เจริญสติให้มาก ๆ แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลงก็จะลด ไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย ให้มีสติ ยืนก็รู้ นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ นอนก็รู้ หยิบอะไรก็รู้ พรากการกระทำไปว่า ตอนนี้เรากำลังหยิบแก้วน้ำ กำลังหยิบช้อนกำลังทานข้าว

ขณะที่เราทำหน้าที่การงานโดยปกติของเราเรายังคิดเรื่องอื่นได้เลย ขับรถก็คิด โทรศัพท์ก็คิดเรื่องอื่น เขียนหนังสืออ่านหนังสือก็ยังแว๊ป ๆ ไปคิดเรื่องอื่นได้มากมายที่เราไม่อยากไปคิดมันก็คิดเองตามธรรมชาติของจิต เราก็มามีสติระลึกรู้อยู่ในการกระทำของเราดูซิว่ามันจะเกิดผลอะไรในการกระทำสิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าตรงนี้แหละ ทำตรงนี้ เราจะเข้าใจตัวเราเองมากที่สุดเมื่อเราเข้าใจตัวเราเองแล้วเราจะเข้าใจคนอื่นในโลกนี้เหมือนกันหมดเพราะมนุษย์เหมือนกันหมด มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง เหมือนกัน ต้องการความสุข เกรียดความทุกข์เหมือนกันไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แต่ต่างกันที่ว่าใครจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้องเท่านั้น ถ้าบุคคลไหนได้ยินได้ฟังมาถูกต้อง มีศรัทรา มีความเชื่อ ว่าการกระทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี้จะมีอานิสงส์ จะมีผลที่เราจะได้รับความสุขในปัจจุบันและในอนาคต อาตมาก็ถือว่ามีคุณงามความดีหรือมีวาสนาบุญบารมีสะสมมามากพอสมควรที่จะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อและถูกต้องด้วย แต่ถ้าวาสนาบุญบารมีไม่ได้สะสมมา จะมาฟังธรรมไม่ได้ นั่งสมาธิไม่ได้ ทำทานไม่ได้ เพราะวิบากกรรมในส่วนของอกุศลกิเลส ความโลภความโกรธ ความหลง อย่างรุนแรง มันจะขวางกั้นไม่ให้เราทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาแน่นอน อะไรที่เป็นความดีมันจะล้ม ๆ ความตั้งใจของเรา จะให้เราทำแต่ทางที่ไม่ดีให้เรามีแต่ความทุกข์เร่าร้อนหนักใจ

แต่ถ้าเรามีเหตุมีปัจจัยมาดีอย่างนี้ อะไรที่เป็นความไม่ดีเราก็พยายามสกัดกั้น รู้เลยไม่ทำ อดทน เพราะฉะนั้น ขันติ คือความอดทนอดกลั้นจึงเป็นมงคลอันสูงสุดของมนุษย์ข้อหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราพยายามทำให้มันเกิด เราก็จะได้มงคลของชีวิตที่ละข้อ ๆ ทาน เราก็ได้  เราไม่คบคนชั่ว เราก็ได้ เราคบบัณฑิต เราก็ได้ เราฟังธรรม เราก็ได้มงคลหรือ การสนทนาธรรม หรือ การพยายามทำพระนิพพานให้แจ้ง เราก็ได้อีกเหมือนกันเป็นมงคลทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมงคลที่นั้นเกิดขึ้นจากการกระทำ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการอ้อนวอนหรือกราบสิ่งสักสิทธิ์หรือแม้แต่กราบพระพุทธเจ้าก็ตาม ถ้าเรากราบเป็น กราบในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ของท่านกราบในความบริสุทธิ์ของท่านว่าท่านมีความเมตตาสอนคำสั่งสอนที่ถูกต้องมงคลก็เกิด แต่เรากราบเพราะต้องการให้ท่านช่วยเหลือให้พระพุทะเจ้ามาช่วยเรานี่มันเป็นไปไม่ได้ ท่านช่วยไม่ได้หรอกไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามช่วยตัวเองโดยการประพฤติปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องนี้สำคัญในแต่ถ้าเราไม่พยายามเลยแต่เราต้องการปรารถนาอย่างเดียวว่าต้องการสิ่งเหล่านี้ให้มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา มันไม่เกิดหรอก ยังไงก็ไม่เกิดเพราะว่าเหตุมันไม่ได้

แต่ถ้าเราลงมือกระทำ ทำไป ๆ อย่างไม่ท้อถอยในการกระทำของเราที่ถูกต้องอย่าไม่ท้อถอยว่าการกระทำสิ่งเหล่านี้ บัณฑิตทั้งหลายทรงยอมรับแล้วว่าการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา การเจริญเมตรากัน การมองโลกในแง่ดีนี่แหละมุมมองที่ดีเวลาเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ให้คิดว่าเราเคยเป็นมาแล้วไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามก็ให้คิดว่าเราเป็นมาแล้วเราจะไม่กลับไปเป็นอีกแล้วสิ่งเหล่านี้เพราะเรารู้แล้วว่าสิ่งเหล่านั้นนี่เป็นแล้วนำความทุกข์มาให้แกตัวเราและคนอื่นเพราะฉะนั้นเราจะไม่เป็นเราจะไม่กระทำทาง กายวาจา ใจ อย่างนี้โดยเด็ดขาดเมื่อเราวางความรู้สึกของเราอย่างนี้ วางความคิดของเราอย่างนี้จิตใจของเราก็จะสบายผ่องใสขึ้นให้อภัยคนได้ง่ายเจริญเมตตาได้ง่ายจะเป็นผู้ให้แต่ทุกวันนี้เราเป็นผู้แสวงหา เป็นผู้แสวงหากันอย่างมากมายเราเลยไม่ให้หรือให้ไม่เป็น เมื่อให้ไม่เป็นในโลกนี้มันเลยพร่องไงเกิดความเร่าร้อนไปหมดทุกคนก็จะแสวงหาตักตุนผลประโยชน์ใสตัวเอง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นล่ะ การแข่งขันกันการทำลายล้างกันมันก็เกิดขึ้น ถ้ามนุษย์ไม่มีเมตตากันแล้ว โลกนี้จะเร่าร้อนมากเพราะฉะนั้นเมตตาเป็นเครื่องคล้ำจุนโลกนี้ให้อยู่ด้วยความสงบ

พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า เมตตานี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลายสัพสัตว์ทั้งหลาย ถ้ามนุษย์ไม่มีเมตตากันแล้วสงครามล้างโลกก็จะเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์นี่เองไม่ใช่จากใคร เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเจริญเมตตาที่ละเล็กที่ละน้อย มันเจริญยากนะ เมตตากับคนที่เรารักนี่ก็ยังไม่เท่าไหร่ที่เคารพก็ไม่เท่าไหร่แต่เมตตากับคนที่เราเกลียดนี่มันทำยากบอกว่าทำไม่ได้ สิ่งที่ทำไม่ได้ก็ยังเป็นโจทย์ที่เราจะต้องแก้ แก้โจทย์นั้นให้ได้ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้แล้วก็จะหยุดการกระทำนั้นไปเลยไม่ได้มันก็จะไม่ได้อะไรจากการเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยข้อประพฤติปฏิบัติ ๕ ข้อที่เราได้ยินได้ฟังประจำสมาทานศีลกันเป็นประจำ ๕ ข้อ สมาทานยังไงกล่าวยังไงศีลก็ไม่เกิดขึ้นหรอกถ้าเราไม่ลงมือเอาศีลนั้นไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อศีลไม่เกิดขึ้นความสุขมันก็ไม่เกิดแล้วเราก็บอกว่าเราทุกข์เราวุ่นวายเราไม่สงบเรามีความปรารถนาอยากจะได้สิ่งต่างๆมากมายแต่มันก็ไม่ได้ตามใจเราปรารถนามันก็เป็นความทุกข์ในใจของเราถ้าความปรารถนาของเรามันเกิน มันเกินความเป็นจริงมันก็ไม่ได้

แต่ถ้าความปรารถนาธรรมมันไม่เกินความเป็นจริงอย่างเรารักษาศีล ๕ เห็นไหม มันไม่ยากมันไม่ต้องเสียเงินแต่มันขัดกิเลสในใจของเราคือกิเลสในใจของเรามันไม่ต้องการให้เรารักษาศีลมันจะทำลายความตั้งใจมั่นที่ดีงามของเรา เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วเราจะไม่รักษามันเชียวรึ มันมีความคิดอีกความคิดหนึ่งในแง่ลบนี่มันคอยจะทำลายความคิดดีของเราโดยการกระทำดีของเราอยู่ตลอดเวลาเราจะไม่ชนะมันบ้างเลยเชียวรึถ้าเราไม่ชนะมันแล้วเมื่อไหร่เราจะชนะเราจะตกเป็นทาสมันไปตลอดทุกภพทุกชาติเชียวรึ เราต้องมาเตือนตัวเองแล้วถ้าเราเตือนอย่างนี้เราจะได้มีสติพินิจพิจารนาว่าอะไรเป็นทางที่ประเสริฐที่สุดเราจะได้แสวงหาทางนั้นเราเพราะว่าเราตายจากโลกนี้แล้วไม่ใช่ว่ามันจบถ้ามันจบศาสนาไม่เกิดขึ้นในโลกนี้แน่นอนผลของกรรมการทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่วไม่เกิดขึ้นแน่นอนชีวิตของมนุษย์ก็จะเท่ากันแน่นอนหน้าตาเหมือนกัน มีทรัพย์เหมือนกัน มียศเหมือนกันมีอะไรที่เหมือน ๆ กันหมดเหมือนเราปั้มออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างใดอย่างนั้น แต่มนุษย์ไม่ใช่มีอะไรที่แตกต่างกันมากมายแม้แต่อายุขัยนี่ที่เรานั่งกันอยู่ที่นี่เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้นานแค่ไหน ?

แต่ทุกคนก็ยังหลอกตัวเองว่า ๘๐ ๙๐ นะยังแข็งแรงเรายังไม่ตายหรอกอันนั้นไม่ใช่อันนั้นเป็นความคิดแต่ไม่ใช่ความจริงความจริงคือไม่รู้เรายังมืดมนอยู่อันนี้แหละให้เราไปเตือนตัวเองว่าสิ่งที่เรามืดมนเรายังมีอยู่นะเราจะประมาทแสวงหาแต่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เราได้มาเยอะ ๆ แล้วนี่เราจะแสงหามันอีกรึแล้วเดี๋ยวมันก็จะหมดไปอีกเราก็แสวงหาอีก ไม่จบนะนี่ เรามาแสวงหาความสุขภายในใจที่มันมีความเยือกเย็นสงบมีความเห็นที่ถูกต้องจะ ยืน เดิน นั่ง นอนเราได้ยินอะไรมาเราก็นะได้วางได้มีความฉลาดได้อันนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง เราสามารถสร้างได้จากการกระทำของเรานี่แหละและพยายามตั้งใจสร้างคุณงามความดีสร้างจุดหมายปลายทางของชีวิตเอาไว้มีอุดมคติมีอุดมการณ์ของเราไว้เราจะเป็นคนดีที่สุดที่เราจะทำได้นี้สำคัญ บัดนี้อาตมาเห็นว่าการบรรยายธรรมก็สมควรแก่เวลาของยุติด้วยประการฉะนี้ ต่อไปตั้งใจถวายสังฆทานต่อไป.

---------------------------

view