สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

ความสุขภายใน

 

เรื่องที่ ๑๘ เรื่อง ความสุขภายใน

ให้พวกเรานั่งสมาธิกัน โอกาสที่พวกเราจะได้นั่งสมาธิใน ๑ วันก็น้อย แล้วทุกคนก็ยอมรับแล้วว่าจิตที่มีความสงบเท่านั้นจะนำความสุขที่แท้จริงมาให้กับชีวิตเราได้แล้วชีวิตเราก็ผ่านมานานแล้วในโลกนี้หลาย ๑๐ ปี แต่ความสุขหรือความสบายใจที่อยู่กับเรานาน ๆ ก็ไม่ค่อยจะพบเจอเท่าไหร่เราเลยต้องมาพยายามแสวงหาความสุขภายในจิตใจของเราเพราะความสุขภายนอกที่เราแสวงหากันมานี้มันไม่ใช่ความสุขที่คงทนถาวรหรือแน่นอน ถ้าความสุขภายนอกเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบแล้ว พระพุทธองค์ก็คงไม่สอนความสุขภายในที่ยิ่งกว่าเพราะความสุขภายนอกท่านก็มีมามากแต่ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของจริง แต่ความสุขภายในใจของเราที่มีความฉลาดรอบรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่เป็นจริงของมันอยู่นี้แหละจะเป็นความสุขที่สงบระงับ พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เรามาเรียนรู้เรื่องความเป็นจริงของกาย วาจา ใจของเรานี้แหละ ถ้าเราเรียนรู้เรื่องนี้ได้เข้าใจชัดว่าใจของเราเป็นอย่างไร ? ทำไมถึงมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ? เราจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ให้มันลดน้อยถอยลงได้ไหม ? ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นเราเป็นของเราจริงหรือ ? เราจะไม่สามารถที่จะชนะมันได้เลยจริงหรือ ? อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องถามตัวเอง

ถ้าเรายอมรับว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นเราเป็นของ ๆ เราแล้วเราก็จะไม่สามารถชนะมันได้เราก็จะไม่แสวงหาสิ่งที่จะชนะมัน คือเรายอมแพ้มันไปแล้ว แต่มีมหาบุรุษคนหนึ่ง เช่น พระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า เราสามารถที่จะชนะความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ และเราก็สามารถที่จะให้มันหมดไปได้ด้วย เพราะว่าท่านทำมาแล้วท่านรู้หนทางแล้วที่จะชนะซึ่งความโลภ ความโกรธ ความหลง ท่านเลยประกาศแนวความคิดใหม่ขึ้นมาเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้วทำให้โลกนี้ตะลึงไปหมด ล้างความคิดเห็นของลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดในยุคนั้นหมดไม่ว่าจะเรื่องว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ใครเกิดเป็นอะไรแล้วก็จะเกิดเป็นอย่างนั้น ใครเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ เป็นต้น บางลัทธิก็บอกว่าตายแล้วก็สูญไปเลย บางลัทธิก็บอกว่าไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ เป็นต้น ก็แล้วแต่ลัทธิต่าง ๆ ไป แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงค้นพบความเป็นจริงของเรื่องความทุกข์ในใจของมนุษย์นี้แหละ ต้นเหตุของมันก็คือกิเลสตัณหาอุปทานความหมายมั่นนี้แหละอันนี้เป็นเหตุ แต่ถ้าเราดับเหตุตรงนี้ได้หรือควบคุมมันได้ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ เมื่อเราสร้างเหตุให้มันดีทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา พินิจพิจารณาทำจิตให้สงบ ถ้าเรารู้เห็นตามความเป็นจริงเราก็จะสงบ

อย่างเช่น เรารู้ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา ถ้าเรารู้ชัดตามความเป็นจริงของมันว่าสรรพสิ่งทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เราคนเดียว เราก็จะสงบ เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับเราก็ตาม ญาติเราก็ตาม ทุกวันนี้เราก็รู้อยู่เห็นอยู่แต่มันไม่เข้าไปภายในจิตใจลึก ๆ  ของเรา เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับเราก็เกิดความทุกข์อย่างมหาศาล บางคนก็ทุกข์นานเลยไม่สามารถที่จะลบล้างได้ จนเป็นเครื่องกั้นความดีในใจ เป็นความทุกข์ที่แช่ คิดทีไรก็ทุกข์ทุกทีในเรื่องราวนั้น ๆ การมาทำจิตให้สงบนี้แหละทำให้เราเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ความสุขที่เกิดจากความสงบเป็นความสุขที่มนุษย์สามารถแสวงหาได้โดยไม่ต้องใช้สิ่งของมาแลก แต่ต้องอาศัยสติปัญญา ความพากเพียรในความสำรวมจิตใจไว้ ถ้าเราสำรวมจิตใจของเราไว้จิตใจของเราก็จะค่อย ๆ สงบแต่ถ้าเราไม่สำรวมภายในมันก็สงบยาก เราจึงต้องมาสำรวมภายใน มาดูลมหายใจเข้า-ออก มาบริกรรมภายใน(พุท-โธ) มานั่งหลับตา พอเราหลับตาเราก็จะได้มาดูความรู้สึกของใจเราคิดอะไร  เรื่องราวอะไร ทำไมถึงคิดไม่หยุด เด็กสมัยนี้หยุดคิดไม่เป็นเพราะไปดูกับสิ่งที่มันเร้าใจตลอดเวลา เช่น การรับข่าวสารโทรศัพท์มากมาย ยิ่งเรารู้ไปเท่าไร เราก็ยิ่งเร่าร้อนมากขึ้น เพราะว่าข่าวสารของแต่ละข่าวสารก็ประกอบด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงของมนุษย์นี้แหละ

เมื่อเรารับรู้ความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนอื่นไปมาก ๆ เราก็เร่าร้อนไปด้วย ไม่สงบ ครูบาอาจารย์บอกว่า พยายามปิดหูซะบ้าง พยายามปิดตาซะบ้าง พยายามปิดปากซะบ้าง แต่เปิดใจดู ทำใจนี้ให้มีความรอบรู้ในกองสังขารทั้งหลายคือร่างกายและจิตใจของเราว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็แปรเปลี่ยนไปเท่านั้นเองมันไม่มีมากไปกว่านี้ มันตกอยู่ในกฎของธรรมชาติ ๓ ข้อนี้แน่นอน สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็ตามหรือจะเป็นนามธรรม-ความรู้สึกก็ตามมันก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในสภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป มันก็จะเกิดขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ แล้วก็จะดับไปใหม่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนี้ ถ้าตราบใดที่ยังมีโลกนี้มันก็จะเป็นอย่างนี้เพราะว่าใจของเราไม่เข้าใจ ไม่ต้องการให้มันแปรเปลี่ยน ต้องการให้มันตั้งอยู่ ต้องการให้มันคงที่ อยากจะบังคับบัญชาให้มันเป็นอย่างที่ใจปรารถนา แต่มันก็ไม่เป็นเมื่อมันไม่เป็นความทุกข์มันก็เกิดขึ้น เราถึงต้องมาเรียนรู้เรื่องกาย วาจา ใจของเรานี้แหละสำคัญมาก บัดนี้อาตมาเห็นว่าการบรรยายธรรมก็สมควรแก่เวลาของยุติด้วยประการฉะนี้ ต่อไปตั้งใจถวายสังฆทานต่อไป.

---------------------------

view