สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

ตั้งเป้าหมายที่ดีแล้วอดทนทำให้ถึง

 

เรื่องที่ ๒๕ เรื่อง ตั้งเป้าหมายที่ดีแล้วอดทนทำให้ถึง

เทศน์วันสิ้นปี ๕๑

ให้เรานั่งสมาธิส่งท้ายปีเก่ากันต้อนรับปีใหม่ วันเวลาก็รวดเร็วเหลือเกินเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดเวลาคนแรกของโลก แม้พระพุทธเจ้าเกิดมาก็มีการกำหนดเวลาแล้วมาหลายพันปี คนโบราณก็อาจกำหนดจากการโคจรของดวงดาว ของฤดูการต่าง ๆ บางทวีปก็มี ๒ ฤดู บางทวีปก็มี ๓ ฤดู บางทวีปก็มี ๔ ฤดู อย่างประเทศเราก็มีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูกาลนี้สมมติกันให้รู้ว่าช่วงนี้เป็นวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่ ? เดือนอะไร ?  พ.ศ.อะไร ? อย่าง พ.ศ. เราก็เริ่มนับตั้งแต่ที่พระพุทธเจ้าของเราปรินิพพาน ก็เรื่อยมาปีนี้ก็ ๒๕๕๑  วันนี้ก็เป็นวันสุดท้าย ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานมาแล้ว ๒๕๕๑ ปี แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ก็สามารถแก้ทุกข์ได้เหมือนเดิมไม่มีอะไรต่างไป เหมือนการทานข้าวทานเมื่อไหร่ก็อิ่มเมื่อนั้น ธรรมะเป็นสภาวะที่บุคคลใดนำไปประพฤติปฏิบัติแล้วตามคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ก็จะนำความสุขมาให้ ท่านบอกว่าทำความดีตอนไหนฤกษ์ก็ดีตอนนั้น ทำตอนเช้าดีฤกษ์ก็ดีตอนเช้า ทำความดีตอนบ่ายฤกษ์ก็ดีตอนบ่าย ตอนสายก็เหมือนกัน กลางคืนก็เหมือนกัน

พระพุทธเจ้าว่า เวลาไหนก็ตามสำคัญที่การกระทำ ดวงดาวบนท้องฟ้าหรือการทำนายต่าง ๆ จะมีค่าอะไร สำหรับคนที่มีปัญญาแล้วไม่มีค่าหมด อยู่ที่การกระทำของบุคคลนั้นก็สามารถจะต้านการกระทำไม่ดีภายในใจได้หรือเปล่า ? ถ้าเราสามารถต้านความไม่ดีในใจได้กรรมดีของเราก็มีอำนาจมาก สามารถที่จะลบล้างกรรมไม่ดีได้อยู่ที่การกระทำของเราเป็นหลัก แล้วเราจะลบล้างได้อย่างไร ? เราถึงจะมีกำลังที่จะลบล้างความคิดที่ไม่ดีหรือการกระทำที่ไม่ดีได้อย่างไร ? อันนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่เราจะต้องแสวงหาคำตอบให้กับตัวเราเอง ท่านบอกการประพฤติปฏิบัติธรรม การควบคุมจิตใจของเรานี้อยู่เป็นปกติอยู่บ่อย ๆ ให้ชำนาญให้มีความฉลาด แยกแยะความรู้สึกนึกคิดของเราได้ว่าตอนนี้คิดอย่างไร ? เป็นอย่างไร ? เราจะจัดการอย่างไร ? ทุกคนก็มีความคิดดีและไม่ดี อย่างความขยันความขี้เกียจนี้ก็มีเหมือนกันหมด ความเบื่อความเซ็ง ความพอใจความไม่พอใจ ความอยากมีอยากเป็นต่าง ๆล้วนแล้วแต่ว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มนุษย์นี้ต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ในชีวิตประจำวันนี้ ยิ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกวันนี้ ข้อมูลข่าวสารยิ่งรวดเร็วเท่าไหร่ความทุกข์ก็ยิ่งเกิดขึ้น

นี้ยังไม่สิ้นปีเลยข่าวก็ออกมาแล้วว่าปีหน้าจะทุกข์หนักเราก็มาดูซิว่ามันจะเป็นไปทิศทางใด เราก็ต้องพยายามต่อสู้ด้วยสติปัญญาจริง ๆ ปีใหม่ก็กำลังจะมาปีเก่าก็กำลังจะหมดไป อะไรไม่สำคัญ พรพุทธเจ้าบอกว่า สำคัญที่ใจ ถ้าเรารักษาใจได้แล้วทุกอย่างเรารักษาได้หมด แต่ถ้าเรารักษาใจของเราไม่ได้แล้วต่อให้มีอะไรสมบูรณ์ก็ตาม เศรษฐกิจดี การเมืองดี อะไรก็ดีก็ตามใจเรายังมีทุกข์อยู่ เราก็ยังทุกข์แต่ถ้าใจของเรานี้มีความสุข มีความฉลาดมีความสงบมีปัญญาเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงว่าเราเกิดมาทำไม ? เราเกิดมาเพื่อสร้างคุณงามความดีให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ว่าเกิดมาเพื่อสนุกสนาน เฮฮา เอาความสุขจนถึงที่สุด ท่านบอกว่าอย่างนั้นมันไม่จบ แต่หาความสุขภายในกับความคิดดีของเรานี้สำคัญมาก ถ้าเราคิดดีตอนนี้ ๑ นาทีเราก็มีความสุข ๑ นาที คิดดี ๑ วันก็มีความสุข ๑ วัน ถ้าคิดดีเป็นเดือนเป็นปีก็มีความสุขเป็นเดือนเป็นปี แต่ทุกคนคิดไม่ได้เพราะว่าอำนาจสิ่งเร้าภายในใจก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มันทำให้เราคิดไม่ดีนี้ คิดไปในทางที่เบียดเบียนตนเองเบียดเบียนคนอื่น ผลมันก็เกิดความทุกข์ คิดไปก็บีบเค้นความรู้สึกไป

พระพุทธเจ้าบอกว่า ความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นแค่เรื่องจินตนาการของมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง เมื่อเรารู้แล้วว่าจิตใจของเรานี้มันเป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นจินตนาการ ความรู้สึกนึกคิดที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วส่งไปที่ใจ เราก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่จิตนาการของตัวเราเอง เราก็ต้องจินตนาการให้มันดีพยายามปรับปรุงเรื่องจินตนาการของเราใหม่ให้มันดี ให้เราพยายามสร้างความดี อะไรเป็นความดีเหล่า ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำทานเป็นความดี การรักษาศีลเป็นความดี การเจริญภาวนาเป็นความดี ตลอด ๓๖๕ วันที่ผ่านมานี้เราทำความดีระดับไหน ? ได้ต่อเนื่องไหม ? แล้วตลอด ๓๖๕ วันที่ผ่านมานี้ความไม่ดีหละเราละความชั่วได้ขนาดไหน ? เราจะต้องมาตรวจสอบการกระทำทางกาย วาจา ใจของเรานี้ว่าไปในทิศทางใด มีสุขมาก หรือมีทุกข์มาก หรือจิตใจของเราเป็นกลาง ๆ มาก จิตใจของเราตกต่ำลงหรือสูงขึ้น ต้องมาตรวจสอบแล้วเราจะได้หาข้อผิดพลาดให้แก่ตัวเราเอง หาว่าอะไรที่เป็นแก่นสารเป็นประโยชน์เป็นสาระนี้ ถ้าเราหาสิ่งนี้ไม่ได้การกระทำของเราจะเป็นสาระไหม ?

อย่างการทำทานก็ตาม การรักษาศีลก็ตาม การเจริญการภาวนาก็ตาม ถ้าเราไม่เห็นประโยชน์ก็คงทำได้ยาก แต่ถ้าเห็นประโยชน์แล้วเราก็ทำได้ง่าย วันนี้พวกเราก็ได้มีโอกาสได้มาพบพระพุทธศาสนาที่ยังมีพระธรรมคำสั่งสอนนี้ยังบริบูรณ์สมบูรณ์อยู่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ๆ ดูซิในโลกนี้มีหลายพันล้านคนแต่คนที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เจริญภาวนา ได้ทำจิตใจให้สงบ ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี้ยากมาก ๆ ถ้าพระพุทธเจ้าทรงไม่เกิดมาในยุคนี้โยมคิดดูซิว่าโลกจะเร่าร้อนขนาดไหน ? ขนาดปัจจุบันนี้พระธรรมคำสั่งสอนยังอยู่โลกยังเร่าร้อนขนาดนี้ ถ้าไม่มีเลยมันจะเร่าร้อนมาก วุ่นวายมาก เพราะฉะนั้นปีใหม่จะมาถึงแล้วนี้สิ่งที่ไม่ดีก็ให้พวกเราพยายามละมัน ส่วนสิ่งที่ดีก็พยายามบำเพ็ญ พยายามตั้งใจ ถ้าเราไม่ตั้งใจให้มั่นคงมันก็จะล้มความตั้งใจดี ๆ ของเรา ๆ ต้องพยายามเตือนตัวเอง อย่างอาตมาก็ต้องพยายามเตือนตัวเองเหมือนกัน (เราบวชมาเพื่ออะไร ? เราต้องการจุดหมายปลายทางอะไร ?) ให้เราจงพยายามเตือนทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ ครั้ง อย่างการพินิจพิจารณาตามความเป็นจริงอย่างนี้ เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา ให้เราหมั่นพิจารณาพวกนี้ (เป็นสิ่งสำคัญ)

ทั้งนี้เพราะทรัพย์ในโลกนี้ก็ต้องทิ้งไว้หมดเลย เอาไปไม่ได้ซักบาทเดียว ดูซิสมัยก่อนเอาเหรียญบาทยัดไว้ในปากคนตายนี้ก็เป็นกุศโลบายสอนธรรมะให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก (คนโบราณสอนด้วยการกระทำได้ดีมากนะ) ให้คนรู้ว่า เราเอาเงินไปไม่ได้นะ สกลร่างกายนี้เหมือนท่อนไม้และท่อนฟืน มีคุณงามความดีเท่านั้นที่จะตามไปได้ (เป็นเพียงความรู้สึกที่ดี ๆ ที่เราทำแล้ว) เพราะจิตใจของเรามันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย (เพราะว่าเป็นนามธรรม) ที่ว่าแก่เจ็บตายก็เป็นเพียงสมมติในภพภูมินั้น ๆ อย่างเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เราก็นับอายุขัยตามร่างกายนี้ ถามจริง ๆ จิตมีอายุขัยไหม ? ความรู้สึกมีอายุขัยไหม ? (มันไม่มีหรอก) ที่มีเพราะว่าเรานับจากสังขารร่างกายนี้ที่เราเห็นอยู่นี้ว่ากี่ปี กี่เดือน กี่วัน นับกันไปเท่านั้นเอง แต่ตัวจิตใจแล้วไม่เหรอ มันเหมือนเดิมเพียงแต่ว่าเรามีความรู้ เรามีประสบการณ์มากขึ้นหรือน้อยลงถ้าอยู่มานานเราก็มีประสบการณ์มากขึ้นในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เราถือว่าเราได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นมามาก แต่ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของเราสงบขึ้นมาได้ แต่ถ้าสัมผัสเรื่องธรรม (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า) เราพินิจพิจารณาความเป็นจริงของชีวิตอยู่บ่อย ๆ ซึ่งความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ อันนี้อย่าทิ้ง ตัวนี้จะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ถาวรเลย แต่ถ้าเราไม่พินิจพิจารณาเมื่อสิ่งเหล่านั้นมาถึงเราจะกระวนกระวายมากเราะวุ่นวายมาก แต่ถ้าเราหมั่นพินิจพิจารณาไว้เราจะไม่วุ่นวาย แต่เราจะสงบพร้อมที่จะต่อสู้กับสิ่งความเป็นจริงที่เราจะต้องต่อสู้อยู่แล้ว เราลองดูปู่ ย่า ตา ยายของเราเป็นแบบอย่างก็ได้ ท่านก็ละโลกนี้ไปแล้ว เราก็จะเหมือนท่านคือเราก็จะต้องละโลกนี้ไปเหมือนกัน เหลือไว้ก็แต่คุณงามความดีให้คนรุ่นหลังได้กล่าวสรรเสริญเท่านั้น

อย่างเช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชของเรา ใครก็สรรเสริญท่าน ท่านสามารถกอบกู้และรักษาเอกราชไว้ให้พวกเราให้มีแผ่นดินอยู่ เป็นต้น ตอนอาตมาอ่านประวัติพระนเรศวรมหาราชแล้วก็น่าปลื้มใจ ท่านมีความสามารถมาก ขนาดต่อสู้ศึกชนช้าง (ศึกยุทธหัตถี) ท่านโมโหมากนะพวกทหารตามท่านไม่ทัน ท่านจะสั่งประหารชีวิตหมด สมเด็จพระวันรัตน์ที่เป็นอาจารย์ (พระมหาเถรคันฉ่อง) ได้ยกคำที่พระพุทธเจ้าทรงสอนตอนหนึ่งว่า ครั้นหนึ่งที่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เหล่าเทพเทวดามาเฝ้าท่านมาก ฝ่ายพญามารก็มาเหมือนกันคือมาต่อสู้กับท่านเพื่อที่จะเคลื่อนบัลลังค์ของท่าน เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายหนีหมดเหลือท่านอยู่องค์เดียวที่ต่อสู้กับพญามาร สุดท้ายแล้วท่านก็ชนะพญามารจนมีชื่อก้องโลกว่า ผู้พิชิตมาร สมเด็จพระวันรัตน์ก็เทศน์เรื่องนี้ให้กับพระนเรศวรฟัง ก็เพราะนี้แหละถ้าข้าราชบริพารทั้งหลายตามท่านทันท่านก็คงไม่ยิ่งใหญ่ปานนี้ เพราะว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้ข้าราชบริพารทั้งหลายตามท่านไม่ทัน กลับเป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้ก้องโลก ท่านก็เทศน์สอน บอก พระนเรศวรก็เห็นจริงด้วย ยอมรับ ก็ให้อภัยแก่ทหารแต่ก็ต้องลงโทษให้ไปตีเมืองอื่นชดใช้ สมเด็จพระวันรัตน์ก็ว่าก็แล้วแต่ท่านไม่เกี่ยวกับพระ

เห็นไหมเพระฉะนั้นในเหตุการณ์บางอย่างที่ว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรุษก็จริงถ้าคนนั้นมีความอดทนหรือว่าผ่าน เห็นว่าบุคคลใดผ่านอารมณ์เรื่องราวของชีวิตที่รุนแรงได้มากคนนั้นก็จะมีกำลังจิตที่สูงมาก ผ่านความทุกข์ได้มากเท่าไหร่ก็ถือว่าจิตใจเข้มแข็ง บางคนผ่านไม่ได้ก็ต้องฆ่าตัวตายไป วิปลาสไปบ้าง พวกเราต้องพยายามสู้นะ อดทนไว้ก่อน ความอดทนนี้แหละเป็นแม่บทที่จะเกิดขึ้นในจิตใจของเรา ถ้าเรายังทำอะไรไม่ได้ก็อดทน ดูมัน เฝ้าดูเฝ้าเห็นซึ่งความรู้สึกที่มันทุกข์ที่มันแผดเผา ครูบาอาจารย์บอกว่า เราดูความทุกข์ที่กำลังแผดเผาเราอยู่นี้เรากำลังเปิดพระไตรปิฎกฉบับของจริง (ฉบับสำคัญ) ความทุกข์นี้แหละจะทำให้เราเกิดปัญญาได้แต่ถ้าความสุขจะไม่ทำให้เราเกิดปัญญาแน่นอน

ความทุกข์นี้แหละเป็นครูบาอาจารย์ชั้นดีของเรา อย่างไปคิดว่าเราไม่ต้องการมัน (ความทุกข์) นะเราต้องเจอทุกคนนั้นแหละไม่มากไม่น้อยเราก็ต้องเจอแน่ อย่างปีใหม่ต่อไปเราก็ต้องต่อสู้อีก สิ่งที่ผ่านแล้วก็ผ่านไปสิ่งที่จะต่อสู้เรากำลังจะต่อสู้ เหมือนความดีอาตมาไม่เคยถอดถอย สวดมนต์มากี่ปี นั่งสมาธิมากี่ปี เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำมาแล้วก็คือแล้วไปแล้ว สิ่งที่กำลังทำอยู่ปัจจุบันนี้จะเป็นของเรา ณ ตอนนี้ ไม่คิดว่าเราทำมามากแล้ว ไม่เคยคิด มีแต่ว่าทำอยู่ ณ ปัจจุบันเท่านั้นไม่มีคำว่ามาก ไม่มีคำว่าน้อย ทำให้มันเต็มที่บริบูรณ์ ณ ปัจจุบันพอแล้วไม่ต้องคิดไปเรื่องอื่น คิดเท่านี้พอ (การกระทำเลยไม่มีความอยากเจือปน มีความพอใจในการกระทำนั้นมากกว่า)  พอใจว่าการกระทำในสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จในอนาคตแน่นอน เลยมีความภูมิใจในการทำความดีไม่หยุด พวกเราก็เหมือนกันต้องพยายามนะ (ละความชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์) ตื่นนอนมาก็ให้พยายามนั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำจิตใจของเราให้เบิกบาน อย่าพยายามนอนดึกมากและก็พยายามพยายามตื่นแต่เช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ พยายามควบคุมการนอนของเราให้ได้ (อย่าไหลไปตามกระแสของโลก นอนตี ๒ ตี ๓) ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ เราจะไดฝึกหัดขัดเกลาความรู้สึกของเรา พระพุทธเจ้าบอกว่า นอนเท่าไหร่มันไม่อิ่มหรอก (อิ่มชั่วคราว)

ยิ่งนอนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเมา (ขี้เกียจ) มากเพราะว่าจิตของเราจะไม่ตื่น สติสัมปชัญญะเราจะไม่รู้ตัว มันทำให้การต่อสู้กับอารมณ์มันน้อย เราก็จะหลบความรู้สึกนึกคิดความวุ่นวายต่าง ๆ ด้วยการนอนหลับดีกว่า (อันนี้ไม่ถูกต้อง) เราต้องนอนให้พอดี ให้พอประมาณซัก ๗ - ๘ ชั่วโมงต่อวัน (เต็มที่แล้วนะ) พระพุทธเจ้าทรงพักแค่ ๔ ชั่วโมงต่อวันเอง นอกนั้นท่านทรงตื่นหมดตื่นด้วยความเพียร ให้พวกเราพยายามตื่นด้วยความเพียรบ้าง ทำงานอะไรก็ให้มีสติอยู่ ระลึกรู้อยู่ ตรวจสอบการกระทำของเราบ่อย ๆ จะทำให้จิตใจของเราเบิกบานนะ เพราะฉะนั้นแล้วก็ให้พวกเราพยายามตั้งใจ ปีใหม่ก็ใกล้จะมาถึงแล้วด้วย ปีเก่าผ่านไปแล้วก็วางไว้บ้าง สุข - ทุกข์ ก็วางไว้นะ ต่อไปก็เริ่มต้นใหม่ ณ บัดนี้เราจะทำอะไรก็จดไว้หรือตั้งใจไว้ทำตามที่เราตั้งใจ ขันติ (ความอดทน) เราก็จะเกิดขึ้นแต่ถ้าเราตั้งใจแล้วถ้าเราไม่ทำตามตั้งยังไงมันก็ไม่สำเร็จซักที แล้วเราก็จะไปโทษอะไรเราก็ต้องโทษที่ใจของเรามันไม่บากบั่นที่ว่าจะทำความดีให้มันประสบความสำเร็จได้ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องพยายามตั้งเจตนาให้มันดีและก็พยายามทำให้ถึงจุดหมายปลายทางในการทำดีของเรานี้ (อันนี้สำคัญมากนะ) ให้เราตั้งใจกันทุกคน บัดนี้อาตมาเห็นว่าการบรรยายธรรมก็สมควรแก่เวลาของยุติด้วยประการฉะนี้ ต่อไปตั้งใจถวายสังฆทานต่อไป.

---------------------------

 

view