สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

รู้แล้วไม่ทำตาม - น่ากลัว

 

เรื่องที่ ๒๔ เรื่อง รู้แล้วไม่ทำตาม - น่ากลัว

พระพุทธเจ้าบอกว่า สอนคนที่รู้แล้วแต่ไม่ทำตามนี้แหละ น่ากลัว อย่างเช่น โยมรู้ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ดีแต่ทำไม่ได้ อย่างนี้แสดงว่า โยมยังไม่รู้จริง ยังไม่เห็นประโยชน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้โยมเลยทำไม่ได้ ถ้าโยมรู้จริงจะทำได้ เพราะเห็นประโยชน์ มีความศรัทธาอย่างมั่นคงชัดแจ้งในใจแล้วต้องทำได้ เช่นเราเชื่อว่านรกมีจริง แม้แต่สภาพจิตใจของเราที่มีความทุกข์แผดเผาอย่างแรงกล้าในปัจจุบันที่เราผ่านมาแล้วก็ตาม ที่เราทุกข์อยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือที่เราจะทุกข์ในอนาคตก็ตาม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้เราเอามาเป็นครูบาอาจารย์ อย่าปล่อยให้ไม่มีประโยชน์ ยิ่งความทุกข์สมัยที่เราเป็นเด็ก (อยู่ในครรภ์มารดาก็ทุกข์) เกิดมาก็ทุกข์ เจอความร้อนความหนาวก็ช่วยตัวเองไม่ได้ กว่าจะโตมาทุกคนผ่านตายมาไม่มากก็น้อย อุบัติเหตุต่าง ๆ อย่างตกต้นไม้ สำลักน้ำ หรืออะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่อีกนิดเดียวถ้าทางจะไม่รอด อาตมาเคยตกน้ำ โหนรถหวิดล่วงก็มี ล้วนแล้วแต่ผ่านวิกฤตของชีวิตมาทั้งนั้น ในส่วนของร่างกายในส่วนของจิตใจ ความทุกข์ก็โดนกิเลสแผดเผาไม่หยุด ถ้ากิเลสแผดเผาไม่หยุดเราก็ทุกข์ไม่หยุด ถ้าตราบใดที่เราไม่หยุดที่จะรู้ตัวเอง สำรวจตัวเอง น้อมธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ในจิตใจของเรา พยายามปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอนไว้ทีละเล็กทีละน้อย (เรายังทำได้ไม่มากก็ทำทีละเล็กที่ละน้อย แล้วเราก็จะได้รับผลจริง ๆ)

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้คุณค่ามหาศาลมาก ไม่มีอะไรเลิศประเสริฐกว่าคำสอนที่ท่านสอนไว้แล้วในโลกนี้เพราะสามารถที่จะแก้ปัญหาหรือแก้ความทุกข์ในใจเราได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้อ่าน ไม่ได้นำไปประพฤติปฏิบัติเราก็อาจจะไม่เห็นคุณค่า แต่ถ้าเรานำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราก็จะเห็นคุณค่ามากมหาศาล เมื่อวานมีนายทหารมาบอกว่าทุกข์ ถ้าผมไม่ได้ปฏิบัติธรรมผมคงจะแย่แน่ทุกข์มากกว่านี้มาก เพื่อน ๆ นี้กินยานอนหลับกันชนิดที่ว่า เบลอไปเลย เครียดมาก (ยิ่งในสมัยนี้ชีวิตครอบครัว ๖๐ % ขึ้น ส่วนใหญ่แล้วครอบครัวหย่าร้าง) เขาบอกว่าเพื่อนผมแต่งได้แค่ ๖ เดือนเองเลิกกันแล้ว น่ากลัวมากสังคมในปัจจุบัน ตัวเขาเองก็อายุก็ประมาณ ๓๕ ปีครับ ผมเองจะโดนบังคับให้แต่งเหมือนกัน ก็กำลังทุกข์อยู่เหมือนกัน พลัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อยจนฝ่ายผู้หญิงเขาขีดเส้นแล้ว

อาตมาก็บอกว่า ให้พิจารณาเองเอาแล้วกัน อยู่ที่สติปัญญาของเรา อยู่ที่วิบากกรรมของเรา บุคคลใดทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก็ตามต้องได้รับผลของกรรมนั้น ชีวิตคู่นี้จะประสบความสุขความเจริญ และก็สามารถยั่งยืนได้ก็จะต้องมี

๑. ศรัทธาเสมอกัน ในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าศรัทธาไม่เสมอกันมันจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เช่น คนหนึ่งศรัทธาในการทำบุญสุนทาน เข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมปฏิบัติธรรม แต่อีกคนหนึ่งไม่สนใน เดินห้าง เที่ยวเตร่เฮฮา แสวงหาแต่ความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ต่าง ๆ อย่างนี้ก็ไปคนละทางเลย เราดึงทางนี้มาทางโน้นก็อึดอัด เขาดึงไปทางโน้นทางนี้ก็อึดอัดหาความสุขไม่ได้ (เพราะฉะนั้นศรัทธาจะเป็นตัววัดตัวหนึ่งว่าจะทำให้ชีวิตของเรานี้จะอยู่ด้วยความร่มเย็นหรือเปล่า)

๒. มีศีลเสมอกัน ก็อยู่ด้วยกันได้แต่ถ้าคนหนึ่งมีศีล ๕ อีกคนหนึ่งไม่มีศีล ๕ อาตมาว่าพังแน่ ไม่มีความสุขแน่ สุดท้ายก็ต้องหย่าร้างกัน

๓. จาคะเสมอกัน (จาคะ คือการเสียสละ) คนหนึ่งทำอีกคนหนึ่งก็เสียดาย (สามีทำทานภรรยาเสียดาย หรือภรรยาทำทานสามีเสียดาย) อย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันยากเหมือนกัน มีโยมบางคนบอกอาตมาว่า จะทำทานไม่ให้สามีรู้ (หรือไม่ให้ภรรยารู้) เพราะว่าถ้าเขารู้แล้วเขาจะตกนรก (เขาไม่อนุโมทนาด้วยแล้วก็มาบ่นอีก) ทานที่ทำไปเลยได้ผลไม่เต็มที่ (โกรธ จิตใจเศร้าหมองเปรียบเหมือนตกนรกทั้งบ้าน ผู้บ่นก็โกรธ ผู้ถูกบ่นก็ไม่พอใจ ) การใช้ชีวิตคู่ต้องอนุโมทนาทั้ง ๒ ทางมันถึงจะมีความสุข

๔. ปัญญาเสมอกัน (ปัญญา คือความรอบรู้ ความฉลาด) ถ้าปัญญาไม่เสมอกันทั้งทางโลกและทางธรรมแล้วชีวิตคู่ก็จะไม่ยั่งยืน ข้อนี้เป็นตัวสำคัญที่สุด เช่น ภรรยากำลังโมโหอยู่ฝ่ายสามีก็ต้องมีปัญญา (ฉลาด) ไม่โมโหตอบก็ต้องใช้อุบายต่าง ๆ ที่จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหายโมโห เช่นเดียวกันในกรณีที่ฝ่ายสามีกำลังโมโหอยู่ภรรยาก็ต้องมีความฉลาดในการที่จะทำให้สามีหายโมโหได้ หรืออีกฝ่ายกำลังมีความเครียดอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องไม่มี (ช่วยกันลดความโลภ ความโกรธ ความหลงในใจ) เป็นต้น ถ้าเราช่วยกันอย่างนี้มีการผ่อนสั้นผ่อนยาวอย่างนี้ชีวิตคู่ของเราก็จะสบายเพราะว่าเรามีปัญญาที่จะรักษาอารมณ์ของแต่ละคนไว้ให้มีความสบายอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามสร้างขึ้น

แต่ตอนนี้รู้สึกว่าธรรมะทั้ง ๔ ข้อ (ศรัทธาเสมอกัน ๑ ศีลเสมอกัน ๑ จาคะเสมอกัน ๑ ปัญญาเสมอกัน ๑) มันก็ไม่ค่อยเหลือเท่าไหร่ เมื่อไม่เหลือมันก็มีชีวิตคู่อยู่ด้วยอารมณ์ ทิฐิมานะ อัตตาตัวตน เอาแต่ใจ น้อยใจ โมโหกเก่ง (ยิ่งโมโหเก่ง น้อยใจเก่ง ชีวิตมันก็บั่นถอนความสงบสุขในใจไปด้วย) โยมเขาก็บอกว่าผมต้องอยู่กับมันตลอด ๒๔ ชม. เลย อาตมาก็บอกว่า ไม่ใช่ ๒๔ ชม.นะมันตลอดชีวิตนะ เราก็ต้องมีอะไรที่เป็นเยื่อใย สายใยกันและกันมันถึงจะอยู่ได้ถ้าไม่มีแล้วมันคงจะอยู่ไม่ได้ แค่สงสารมันก็ต้องลึกลงไปกว่านั้นอีก ต้องมีความเอื้ออาทรกัน ต้องมีความเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน มองเห็นคุณงามความดีของกันและกันอยู่บ่อย ๆ ความไม่ดีก็อย่าไปมองเห็น นี้เรามองเห็นแต่ความบกพร่องของกันและกันมันก็ไม่ไหวนะ ชีวิตคู่จะไม่มีความสุขนะ คิดให้ดีนะ โยมเขาก็ถามว่า แล้วจะหาทางออกอย่างไร ? อาตมาก็บอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน อธิษฐานบารมีไป (ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่านะ) ถ้าเขาเป็นคู่ครอง (เป็นเนื้อคู่กัน) เราและสามารถจะทำให้เราประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วทำให้เขาเจริญและทำให้เราเจริญด้วย (เขามีความสุขและเราก็มีความสุขด้วย) ก็ขอให้ได้เป็นเนื้อคู่กันก็ให้ได้แต่งงานกันไป แต่ถ้าบุญบารมีของเราไม่ได้ทำมาด้วยกันก็ขอให้ชีวิตของเราและของเขาเดินไปคนละทาง ให้ประสบสิ่งที่เราต้องการที่สุด (โยมเขาก็บอกว่าลืมอธิษฐาน) แต่จะได้ผลหรือไม่อยู่ที่กำลังใจของเราอยู่ที่ความสงบของเราอยู่ด้วยความตั้งใจมั่นของเราที่จะอธิษฐาน เขาก็ทุกข์มากในเรื่องนี้ (เรื่องผู้หญิงยื่นคำขาดว่าจะแต่งหรือไม่) ...

   อาตมา     เมื่อไหร่ ?

   โยม         ปีหน้า ประมาณปลายปีก็ต้องแต่ง เขาก็บอกต่อไปว่า

                   ไม่อยากมีลูกอีก

   อาตมา     ข้อแม้ชีวิตโยมนี้มากเหลือเกินนะ

   โยม         เลี้ยงไม่ไหว

   อาตาม     โยมเห็นทุกข์ขนาดนี้แล้วโยมกระโดดไปเล่นกับไฟทำไม ?

   โยม         มันพลาดไปแล้วครับ

   อาตมา     โยมพลาดแล้วโยมก็ต้องสานต่อไป ค่อย ๆ แก้ไป

          เราต้องใช้ปัญญาค่อย ๆ แก้ไขไปอันนี้สำคัญ เพราะฉะนั้นพวกเราถึงจะมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แล้วก็อย่างประมาท พยายามสร้างคุณงามความดีของเราไว้ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไว้ โดยเฉพาะการภาวนานั้นจะทำให้เราเกิดปัญญาจริง ๆ ทำให้เราฉลาดในความคิดของเราเอง ความคิดอะไรดี ความคิดอะไรที่ไม่ดีเราจะได้จัดการได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะจัดการกับความคิดที่ไม่ดีไม่ได้เลย มันก็จะเป็นนายอยู่ในใจของเรา สั่งซ้ายเราก็ไปซ้าย สั่งขวาเราก็ไปขวา สั่งให้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็ทำตามใจ มันก็สะสมความทุกข์ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเรามีกำลังจิตที่ดี มีสติ มีปัญญาที่ดี เมื่อมันสั่งมา (ความคิดที่ไม่ดี) อันนี้เราไม่ทำตามนะ อันนี้ทำตาม (ความคิดดี) สามารถที่จะมีกำลังต้าน (ความคิดที่ไม่ดี) ได้บ้างแต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามเลย ไม่ฉลาดเลย (ไม่ภาวนา) เราต้านมันไม่อยู่แน่ มันก็จะไหลไปตามความรู้สึกนึกคิดไม่หยุด เมื่อไหลไปไม่หยุด ความทุกข์ก็เกิดไม่หยุดเหมือนกันแล้วเราจะไปโทษใครหละ เราก็ต้องโทษที่ตัวเราไม่มีสติปัญญา ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ปล่อยโอกาสอันดีงามของชีวิตนี้เสียไป เราโชคดีได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าแล้ว (พระธรรมคำสั่งสอนอยู่ครบ) คำสอนอันเลิศประเสริฐที่สุดแล้วถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติอาตมาว่าเสียดายมากนะ ก็ให้เราพยายามศึกษาธรรมะดีกว่าจะได้เป็นที่พึ่งแก่เราได้ บัดนี้อาตมาเห็นว่าการบรรยายธรรมก็สมควรแก่เวลาของยุติด้วยประการฉะนี้ ต่อไปตั้งใจถวายสังฆทานต่อไป.

---------------------------

view