สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

ธรรมพิสูจน์ได้

 

เรื่องที่ ๓๘ เรื่อง ธรรมพิสูจน์ได้

วันนี้ก็เป็นวันพระที่พวกเราได้มีโอกาสมาเจริญภาวนากันตามกาล เพราะชีวิตของเราก็ผ่านพ้นไปวันหนึ่ง ๆ ก็รวดเร็ว ใน ๗ วันก็มีวันพระ ๑ วัน เมื่อครั้งพุทธกาลตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงบัญญัติวันพระเกิดขึ้นแต่ในศาสนาอื่น ๆ ลัทธิอื่น ๆ ก็มีวันรวมกัน ๗ วันครั้งเหมือนกัน อุบาสกอุบาสิกาก็มากราบคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็นประโยชน์เลยกำหนดวันพระขึ้นมาจนมาถึงปัจจุบันนี้ ในสายวัดป่าหรือพระกรรมฐานหลวงปู่มั่นท่านก็จะพยายามรวบรวมอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายมาฟังธรรมมาเจริญภาวนา ส่วนหลวงปู่ชาของเราก็ทรงรับเป็นธรรมทาญาติสืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงปู่มั่นมีการฟังธรรมกันทุกวันพระ มีการสมาทานศีลกัน ปกติก็ไม่เลือกว่าเข้าพรรษาออกพรรษา ในสายวัดป่าวัดกรรมฐานของเราในวันพระเมื่อไหร่ก็มีการทำทานรักษาศีลเจริญภาวนากันทุกวันพระ เพื่อไม่ให้ชีวิตนี้เปล่าประโยชน์ทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตัวตนของเราเองเพราะแต่ละวันหมดไป ๆ ถ้าเราสร้างคุณงามความมดีไว้ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีก็ไม่มีความหมายอะไรมากมาย เราสร้างทางแห่งความสุขทางแห่งความสงบไว้ในจิตใจของพวกเราเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า นี้ (การละความชั่ว การทำความดี การทำใจให้ผ่องใส สงบ) คือทางประเสริฐเป็นทางที่ทำให้เรานี้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

อย่างพวกเราได้มาสมาทานศีลกันถึงจะไม่สมาทานแต่ว่าพวกเราก็ตั้งใจที่จะละเว้นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศให้เราละเว้นในสิ่งเหล่านั้น (ให้เราถือศีล ๕) เมื่อเรากระทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้บอกไว้ทั้ง ๕ ประการให้ครบบริบูรณ์จิตใจของเราก็มีความสงบ มีความสุขจากการที่พวกเราได้ตั้งใจละเว้นในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ความเป็นปรกติหรือความสงบใจก็เกิดแก่จิตใจของเรา ๆ จะเดิน ยืน นั่ง นอนก็มีความสบายใจรู้สึกว่าจิตใจเรานี้เยือกเย็น เมื่อเรามาฟังธรรมเจริญภาวนามันก็ง่ายขึ้นเพราะศีลเป็นพื้นฐานของธรรมทั้งหลายอยู่แล้ว การที่เราได้มีโอกาสที่เราจะได้ฟังธรรมก็น้อยเพราะการงานก็มากมาย เวลาก็ไม่ค่อยมีกันเราต้องทำงานแข่งกับเวลา ถ้าไม่มีวัดวาอาราม ไม่มีครูบาอาจารย์มาอบรมสั่งสอนเราอีกอันนี้ก็ยากใหญ่ เพราะฉะนั้นโอกาสดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ยากไปด้วย อย่างวัดเขาแผงม้านี้สมัยก่อนมีญาติโยมถวายที่จะสร้างวัดป่า ครูบาอาจารย์มาดูก็ไม่รับคือยังไม่เป็นที่สัปปายะคือต้นไม้ไม่มี ที่โล่งเตียน ปลูกข้าวโพด และอำเภอที่วังน้ำเขียวนี้ก็ทุรกันดาน ห่างไกลความเจริญ

ตอนอาตมาไปกราบเจ้าคณะตำบลใหม่ ๆ ขณะนั้นก็มีเจ้าคณะตำบลหลวงพ่อใช้ที่วัดสวนห้อม (ตอนนี้ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอวังน้ำเขียว) ก็บอกว่าที่นี่ชาวบ้านยากจนยังไม่เจริญ อาจจะอยู่ด้วยความลำบากหน่อย พระภิกษุสงฆ์ที่อำเภอนี้ก็น้อย อาตมาก็บอกว่าพอใจ เพราะเป็นสถานที่สงบ สิ่งที่ห่างไกลความเจริญนี้แหละ ห่างไกลจากผู้คนนี้แหละจะเป็นโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีเวลาได้ภาวนากันมากขึ้น ก็เลยตั้งใจสร้างที่นี้ให้เป็นที่ภาวนาของพระภิกษุสงฆ์และก็ญาติโยมที่มีความตั้งใจ ที่จะฝึกหัดปฏิบัติกาย วาจา ใจ เป็นหลัก ไป ๆ มา ๆ อำเภอวังน้ำเขียวกลายเป็นอำเภอที่โด่งดังไปแล้ว สื่อต่าง ๆ ทางทีวีก็ออกกันมาก คนก็หลั่งไหลมา มาเที่ยวกัน แล้วโอกาสที่คนจะได้ทำบุญสุนทานก็น้อยได้ฟังธรรมก็น้อย ส่วนใหญ่ก็มาเที่ยวเตร่เฮฮากัน เป็นธรรมดา แต่พวกเรานี้ก็ถือว่าเป็นชาวพุทธทั้งกายและใจ ทำทานเป็นปกติ นั่งสมาธิฟังธรรมกันเป็นปกติมีจิตใจน้อมไปสู่ธรรม พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า บุคคลใดพอใจในธรรมบุคคลนั้นก็เป็นผู้ที่เจริญแล้วทางด้านจิตแต่บุคคลใดไม่พอใจในธรรม ชังธรรมก็เป็นผู้เสื่อมจากคุณงามความดีทั้งหลาย

พวกเรานี้ถือว่าเกิดมาโชคดี ที่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ยังอยู่ครบบริบูรณ์สมบูรณ์ หาได้ยาก โอกาสที่จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมก็ยาก เราควรใช้ชีวิตของเรานี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด ให้มีคุณค่าที่สุดในการปฏิบัติธรรม พินิจพิจารณาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ (อันนี้สำคัญ) จะทำให้จิตใจของเรานี้ดื่มด่ำและก็มีปัญญาได้ ในวันก่อน มีโยมโทรมาว่าโยมคนนี้เป็นมะเร็งใกล้จะตายแล้ว โยมคนนี้อายุพึ่ง ๕๒ ปีเอง คืนนี้หมอบอกว่าเป็นคืนสุดท้ายก็ให้กำพระไว้ อาตมาก็คิดอยู่ในใจว่ากำพระไว้มันจะได้อะไรหนอ ? แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ก็ยังดี ก็เอาโทรศัพท์ให้อาตมาคุยกับคนป่วยที่ใกล้จะตาย อาตมาก็ให้สติให้ปัญญา บอกให้โยมนี้เข้าใจความเป็นจริง วางไว้ ไม่ต้องห่วงกังวลอะไรในครอบครัวทั้งหมดเลย ยังไงเขาก็อยู่กันได้ เราดูซิปู่ ย่า ตา ยาย ของเราสิ้นไปแล้วเราก็อยู่ได้ เราก็ต้องสู้มนุษย์ต้องมีการต่อสู้อยู่แล้ว ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร ให้เราทำใจนี้ให้สงบอย่าส่งจิตไปที่อื่น เพราะจิตที่ส่งไปที่อื่นเกิดจากความจำทั้งนั้นแหละ ไม่เกิดความจริงแต่ถ้าจิตส่งเข้ามาด้านใน ภายในความรู้สึกของเรานี้จะเกิดความจริงได้ พินิจพิจารณาว่าร่างกายนี้มันแตกสลายไปเป็นธรรมดา แต่ใจของเรานี้ยังไม่ตาย สอนไประยะหนึ่งก็ถามว่าเข้าใจไหม ? ก็บอกว่าเข้าใจ ก็ถามว่าวางได้ไหม ? ก็บอกว่าพยายามให้พุท-โธ ไปแล้วกันไม่ต้องห่วงอะไรในโลกนี้ วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าเสียประมาณ ๑๑โมง เพราะเป็นมะเร็ง

ตอนนี้โรคภัยไข้เจ็บก็มากมายหลายโรคเยอะแยะไปหมด พวกเราก็ยังแข็งแรงกันอยู่ก็ อย่าประมาทนะ อย่างพระพุทธเจ้าของเราพิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทำให้ท่านไม่มัวเมา ไม่ประมาทในวัย ในทรัพย์ ในสติปัญญาในความเป็นอยู่ทั้งหมด ดูอย่างสิ่งสวยงามมันเกิดขึ้นมาจากความปรุงแต่ง บ้านช่อง ห้องหับต่าง ๆ สถานที่รีสอร์ทต่างๆ ในโลกนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เอาธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มาประดับตกแต่งจัดให้เป็นระบบระเบียบ สวยงามไม่ให้ซ้ำซากกับความเป็นอยู่ของคนทั่วไป มองแล้วก็สบาย แต่ส่วนใหญ่แล้วใจไม่สงบ มองไปแล้วเกิดความชอบ ชอบในส่วนนี้ไม่ชอบในส่วนนั้นอย่างนี้มองไปก็ไม่เกิดปัญญา พระพุทธเจ้าสอนไว้มองให้เลยไปอีก ดูว่าเมื่อก่อนจะเกิดขึ้นตรงนี้เป็นอะไร ? ตอนนี้เป็นอย่างไร ? แล้วในอนาคตจะเป็นอย่างไร ? มองทั้ง 3 กาล จะมองอย่างเดียว สวยก็ชอบ ไม่สวยก็ไม่ชอบ อันนั้นไม่เกิดปัญญาเสียงก็เหมือนกัน กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ก็เหมือนกัน (อันนี้สำคัญ) ให้เราพยายามมองสัมผัสต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา จิตใจของเราก็จะตั้งมั่นไม่ไหลไปในอารมณ์ต่าง ๆ อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เราจะต้องพยายามแล้ว เป็นที่พึ่งของเราได้ในยามยากแน่นอน การฝึกหัดจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้สำหรับผู้รู้ทั้งหลาย

เราดูอย่างพระพุทธเจ้าทรงเป็นต้นแบบในการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านใช้ความเพียรอย่างอุกกฤต (อย่างยิ่งยวด) ก็ว่าได้ ท่านใช้ความพยายามอย่างมากล้วนแล้วเกิดจากสติปัญญาของท่านทั้งนั้นเพราะฉะนั้นธรรมะตามหลักพระพุทธศาสนาของเราจะเป็นคำสั่งสอนที่เน้นที่สติปัญญาทั้งนั้น ไม่ได้สอนด้วยความงมงายให้เชื่อให้ศรัทธาโดยไม่มีเหตุผล ให้เราพิสูจน์ผลของการกระทำของเราทุก ๆ ขณะที่เราทำลงไป เช่น อย่างเราทำดี คนอื่นว่าไม่ดีอย่างนี้ เราจะเชื่อใคร ? เราเป็นพยานให้ตนเองได้แล้วหรือยัง ? เราทำทานแล้วเขาบอกว่าไม่ดี เราสมาทานศีล 5 เขาบอกว่าไม่ดี เรามาฟังธรรมนั่งสมาธิเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ เราจะเชื่อเขาหรือเราจะเชื่อเรา ? ถ้าเราเชื่อตัวเราว่าเราทำดีแล้วทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว ผลจากการกระทำความดีก็เกิดขึ้นในใจเราแล้วเป็นพยานให้ตัวเราแล้วเราก็เชื่อการกระทำของเรา ใครจะว่ายังไงก็ไม่ต่อร้องต่อเถียง (เราก็วางไว้) เราทำชั่ว ทำไม่ดี ผิดศีลธรรม แต่คนชั่วชมว่า ดี ๆ  ๆ มันจะดีไปตามนั้นจริงไหม ? มันก็เป็นพยานในความชั่วของเราเหมือนกันถ้าเราทำไม่ดี ถึงจะว่าดีอย่างไรก็ตามมันก็ไม่ดี เป็นต้น เพราะฉะนั้นกรรมคือการกระทำจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นจะไปในทิศทางใด

อย่างพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้หลายพันปีแล้วมันก็ยังเป็นพยานอยู่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุคคลใดทำกรรมอะไรไว้ดีก็ตามชั่วก็ตาม จะต้องเป็นผู้รับผลเป็นทายาทของการกระทำนั้น ๆ ก็ยังเป็นพยานหรือเป็นความจริงมาจนถึงบัดนี้ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นี้ใครจะมาลบล้างไม่ได้ (ท่านประกาศไปแล้วท่านรับรองว่าใครลบล้างคนนั้นผิด) ท่านกล้าให้พิสูจน์ด้วยการกระทำเพราะอะไร ? เพราะพระพุทธเจ้าได้ทำบารมี (บารมี ๑๐) ไว้อย่างที่สุดมาแล้ว ท่านเคารพก็เคารพที่สุด ทำทานก็ทำถึงที่สุด อย่างโยมมากล่าวกับอาตมาว่า ตอนพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ท่านสละลูกเมียนี้ ผมว่ามันทำทุกข์ให้คนอื่นนะ มันจะได้บุญหรือท่านอาจารย์ อาตมาบอกว่าเราคิดไปไม่ถึง คำถามนี้เคยมีคนมาถามหลวงปู่ชาเหมือนกัน ตอนนั้นท่านอยู่ต่างประเทศ พวกฝรั่ง พวกชาวต่างประเทศนั้นยังสงสัยว่า พระพุทธเจ้าทำทานบารมี สละลูก ภรรยาให้คนอื่นมันจะเป็นความดีได้อย่างไร ? เขามองไปไม่ถึงกำลังจิตของพระพุทธเจ้าตอนที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อท่านตั้งใจที่จะสละทำทานบารมีนี้ท่านก็ไม่ได้ไปคิดว่าคนจะมาขออะไรที่มันผิดปกติกว่าคนธรรมดา ถ้ามีคนมาขอทรัพย์สมบัติ ขอโน้น ขอนี้ท่านก็คงตั้งใจจะให้หมดแหละ แม้แต่ชีวิตท่าน ๆ ก็ให้ได้ แต่ก็มีคนที่มารดลใจให้มาขอลูก ขอภรรยา แต่ท่านก็มีความฉลาดนะ ไม่ใช่ว่าให้ไปแล้วจะไม่ห่วงใยไม่รัก

ขณะให้ท่านก็ยังอาลัยอาวรณ์ แต่เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เพื่อท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าแล้วจะได้โปรดมหาชนทั้งหลาย ท่านได้ตั้งมูลค่าไว้เหมือนกัน กัณหามีมูลค่าเท่านี้ ชาลีมีมูลค่าเท่านี้ ถ้าบุคคลนี้รับไปต้องการเงินก็ไปขึ้นเงินได้กับพระราชา คือพ่อท่าน ชูชกก็เอาไปขึ้นเงิน ท่านไม่ได้เจตนาให้ลูกของท่านไปเป็นคนใช้หรอก ท่านตั้งมูลค่าไว้สูง ไม่ใช่ว่าท่านไม่รัก เราจะเห็นได้ว่าบางที่เราก็วัดกำลังใจได้ยากเหมือนกัน อย่างบางคนทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้ ก็ทำได้ ทำได้อย่างไร ? เพราะกำลังใจของเขาตั้งไว้สูง ตั้งความเสียสละไว้สูงเขาถึงทำได้ พวกเราก็เหมือนกันให้ตั้งความเสียสละไว้สูง ๆ เช่น จะใส่บาตรทุกวัน (เป็นสิ่งที่ทำได้ยากนะ) ไม่ใช่ว่าทำได้ง่าย ๆ ต้องมีความเพียร มีปัญญา มีความบากบั่นที่มั่นคงจริง ๆ บุคคลนั้นถึงจะทำได้ เป็นต้น เมื่อก่อนอาตมาจะบวชอาตมาก็ตั้งสมาทานใส่บาตรเหมือนกัน ใส่ทุกวันเหมือนกัน สวดมนต์ทุกวัน นั่งสมาธิทุกวันสมาทานศีล ๘ ทุกวันตั้ง ๖ ปีก่อนที่จะได้มาบวชนี้ บ่มอินทรีย์ให้แก่กล้า บ่มศรัทธาให้มั่นคงไม่หวั่นไหว สิ่งใดจะเกิดขึ้น เรื่องราวอะไรจะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาก็ตาม ในเรื่องภายนอกก็ตาม ในเรื่องโลกก็ตามไม่หวั่นไหว เข้าใจกฎเกณฑ์ของสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริงของมัน ทำให้ศรัทธาไม่หวั่นคลอนไม่เบื่อไม่หน่ายในการสร้างคุณงามความดี

ทั้งนี้เพราะมีจุดหมายปลายทางที่จะเดินให้ถึง (คือพระนิพพาน) เป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ในความรู้สึกที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า (อันนี้สำคัญ) ถ้าเราตั้งความปรารถนาไว้อย่างแรงกล้าในการสร้างคุณงามความดี เราก็จะมีกำลัง ไม่ท้อถอย เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ว่าการกระทำอย่างนี้จะนำความสุขมาให้ในอนาคตแน่นอน เราก็กระทำลงไปมีสติปัญญากำกับรู้ในการกระทำในการกระทำกันไป ถ้าเรามีเจตนาอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ จิตใจของเราก็จะร่มเย็นสงบได้ง่ายขึ้น มองอะไรก็น้อมไปสู่ธรรมน้อมไปสู่ความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นว่า มันเกิดขึ้นมาตั้งอยู่แปรเปลี่ยนไปอย่างนี้แหละจะไม่เป็นไปอย่างอื่น เหมือนเมื่อก่อนเขาแผงม้าก็เป็นทุ่งโล่ง ต่อมาก็มีวัดวาอารามมีเสนาสนะมากมาย ต่อไปก็จะแตกสลายเหมือนกันแล้วก็กลายเป็นป่าใหม่กลายเป็นที่รกร้างใหม่ ต่อไปก็จะเป็นวัดใหม่หรือเป็นอย่างอื่นไป (ตามเหตุตามปัจจัย) เราเคยเห็นเมืองร้างก็มี เคยเห็นป่ากลับมาเป็นเมืองใหม่ก็มี (สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ) อย่างอำเภอวังน้ำเขียวนี้ก็ก่อนโน้นก็เป็นชุมชนเล็ก ๆ ชาวบ้านก็น้อย บอกว่ามาอยู่วังน้ำเขียวนี้ พระเพื่อน ๆ กันนี้หัวเราะเลย บอกว่ามาอยู่ทำไม มันไม่มีอะไรจริง ๆ เลือกได้อย่างไรมาสร้างที่ภาวนาตรงนี้ แต่ตอนนี้โยมรู้ไหมว่าพระมาสร้างวัดที่อำเภอวังน้ำเขียวนี้มาก มากจนผิดปกติคือว่าเยอะเกินไป

เยอะมาก ๆ ทุกหย่อมหญ้าไปหมดเลย ไม่รู้ว่าสายไหนมาหมดเลย อาตมาก็ว่ามาก็ดี ให้ช่วยชุมชนไป ช่วยชาวบ้านไป ทั้งใกล้และไกล ให้ทำทานกัน แต่ไม่ใช่ว่าพวกที่มาเที่ยวจะเข้าวัดกันเยอะนะ มีไม่มากหรอกถ้าไม่ใช่คนรู้จักมักคุ้น อย่าง 3 วันที่ผ่านมาที่หยุดกันเข้าวัดไม่ถึง 10 ชุด มาถวายสังฆทานมาฟังธรรมนิดหน่อย ส่วนใหญ่ถวายสังฆทาน พระก็รับสังฆทาน พระให้พรก็จบ อยากฟังธรรมก็สนทนาธรรม โยมมาเที่ยววัดก็เดินดูไป แล้วแต่เจตนาของบุคคลที่เข้ามา อย่างพวกเราก็มีเจตนา นั่งสมาธิฟังธรรมสวดมนต์ อันนี้ก็ถือว่าเป็นเจตนาที่สูงแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ครูบาอาจารย์ก็ทำมาอย่างนี้ เป็นทางที่ถูกต้อง ให้พวกเรารักษาปฏิปทานี้ไว้ให้มั่นคง เพราะว่าศรัทธาเราต้องเป็นผู้รักษาเอง ใครรักษาให้เราไม่ได้ ถ้าเรารักษาศรัทธาไว้เดี๋ยวปัญญาก็เกิดแน่นอน ให้เราตั้งใจกันทุก ๆ คนสร้างความดีกันจนกว่าจะถึงพระนิพพานนั้นแหละ วันนี้อาตมาก็ปรารภธรรมมาก็เห็นสมควรแก่เวลาก็ขอยุติด้วยประการฉะนี้ ต่อไปตั้งใจถวายสังฆทานต่อไป.

---------------------------

 

view