สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

เรื่อง ฉลาดให้เป็นจะไม่ทุกข์

 

เรื่อง ฉลาดให้เป็นจะไม่ทุกข์

ให้พวกเรานั่งสมาธิกัน มือขวาทับมือซ้าย ขาขวาทับขาซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติของเราให้มั่นคงไว้ตามที่พวกเราได้ฝึกกันมา ตอนนี้มารู้ที่ลมหายใจของเรา พยายามประคองความรู้ไว้เพราะสติเป็นที่เกิดแห่งความฉลาด เราเคยได้ยินมามากแล้วว่าคนที่มีสติปัญญาดีคนนั้นก็จะมีความจำหรือการเรียนรู้ได้ดี ทุกคนต้องการมีสติปัญญาดีกันทั้งนั้น ต้องการเป็นคนฉลาดไม่ต้องการเป็นคนโง่ แต่คนฉลาดจะต้องฝึกหัดปฏิบัติมีความขยันหมั่นเพียร

เราดูคนที่เรียนได้เกียรตินิยมอันดับ 1 อันดับ 2 มีใครไม่อ่านหนังสือ ไม่มีใครไม่ขยันหมั่นเพียร คนพวกนี้มีความเพียรมากกว่าคนอื่น มีสมองความจำได้มากกว่าคนอื่น คือเขาจะมีความเข้าใจเรื่องราวที่ครูบาอาจารย์สอนได้รวดเร็ว และอาศัยความเพียรพยายามในการทบทวนเรื่องที่เรียนมาแล้วด้วย มีการเตรียมตัวก่อนที่จะไปเรียนในครั้งต่อไปอีกเพราะฉะนั้น ความขยันหมั่นเพียรของเขาก็เกิดผลทำให้เขามีความฉลาด ความฉลาดทางด้านการศึกษาเหล่าเรียนในศาสตร์ต่าง ๆ ยังไม่เพียงพอที่จะตัดสินว่าคนนั้นจะมีความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัว และการใช้ชีวิตในสังคมได้ยอดเยี่ยมไม่ แต่ถ้าผู้ใดมี่ที่มีความฉลาดในจิตใจของตนเองรู้ว่าอะไรไม่ควรปล่อย อะไรที่ควรวาง อะไรที่ควรพูด อะไรที่ควรไม่พูด ในสถานที่ต่าง ๆ ในบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องได้ดีถือว่าบุคคลนั้นฉลาด แต่พวกเราต้องคบความฉลาดในการเป็นอยู่ในสังคม ในหน้าที่การงานของเรา เราจะทำอย่างไร

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สติ คือการระลึกรู้ จะเป็นตัวการสำคัญในที่จะทำให้เราทำการงานไม่เครียด คือทำงานด้วยความฉลาด ทำงานด้วยการปล่อยวาง แต่ทุกคนที่เราทำงานด้วยล้วนมีการยึดไว้หมายหมั่นไว้มีการแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา มีเรามีเขา มีดีมีชั่วมีคนเก่ง คนไม่เก่ง ต้องการให้ทุกคนยอมรับว่าเราเป็นคนเก่ง คนฉลาดที่สุด ต้องการให้เจ้านายเห็นคุณค่า และเพื่อให้เพื่อนร่วมงานเห็นความสามารถของเรา ถ้าตั้งความรู้สึกไว้อยู่นี้ตั้งความเห็นผิดไว้อย่างนี้ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เราจะต้องมาตั้งความคิดเห็นใหม่ เราทำงานเพื่องานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมบูรณ์ที่สุข ใครจะเห็นหรือไม่เห็นผลงานของเราไม่ใช่หน้าที่ ตอนตัดสินหน้าที่จะตัดสินได้จากการงานของเราต้องถูกต้องดีงาม และสำเร็จประโยชน์ในการงานนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าจะถูกใจอย่างเดียว

จะต้องทำงานนั้นให้สมบูรณ์ รับฟังความคิดเห็นจากหลาย ๆ คนให้หยุดเป็นผู้ฟังที่ดี เราเป็นผู้พูดที่ดียังไม่เท่าใดแต่การเป็นผู้ฟังที่ดีทำยาก ทุกคนไม่ยอมฟังกันเวลาประชุมแย้งกัน แก้ตัวกันหมด เราบอกกันว่าทำผิดแล้วอย่ายอมรับผิด คนที่ยอมรับความผิดแล้วจะไม่ได้เกิดเลยเขาจะเอาความผิดของเรามาโพนทะนาทำให้คิดเสียชื่อ ทำให้คนอื่นไม่ยอมรับและตนเองก็จะเกิดปมด้อย อันนี้ไม่ถูกหลักธรรมตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ถ้าเราผิดก็จะต้องยอมรับผิดเราจะได้รู้ว่าจะปรับปรุง และแก้ไขอย่างไรในส่วนที่ผิดเหล่านี้ ถ้าเราปกปิดความผิดอย่างไรเราก็ชื่อว่าเราทำผิดก็เกิดความไม่สบายใจแต่ถ้า เรารับผิดและพยายามปรับปรุงไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกอันนี้ดีกว่าการปกปิดความผิด จะทำให้เราไม่เครียดด้วยแต่เราก็ไม่กล้าเปิดเผยมา ไปปรึกษาเพื่อนรวมงานก็ว่าอย่ารับผิด เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะไม่มีความผิดพลาดในการทำหน้าที่การงานต่าง ๆ แม้แต่เราใช้มือของเราก็ตาม เรายังของก็เคยหลุดมือ หรือการเดินก็ตามเราก็เคยมีการหกล้ม และการงานจะไม่มีผิดพลาดเป็นไปไม่ได้แน่นอน

เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้เราก็ค่อย ๆ ปรับความเข้าใจของเราหรือความคิดเห็นของเราใหม่ ถ้าเราผิดพลาดก็ยอมรับผิด เรามาหาวิธีแก้ไขกันดีกว่าแต่สมัยนี้มันไม่ใช่แล้วใครทำผิดพลาดก็จะโดนซ้ำเติมและทำลาย มีความเห็นแก่ตัวตัวอย่างรุนแรงทำให้ทุกคนไม่กล้าเปิดเผยความเป็นจริงในการกระทำนั้น ๆ ก็จะทำให้การทำงานมีแต่ความเร่าร้อนและความทุกข์ ประชุมก็มีแต่จับผิดกันวุ่นวายกันว่ากันไป ก็ว่ากันมา โยมไปพบแบบนี้โยมไปพบแบบนั้น จริง ๆ แล้วจะต้องช่วยกันทุกแผนก คนทำงานจะสำเร็จไม่ใช่อยู่ที่แผนกเดียวมันทำงานสั่งต่อกันไป เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วจะปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้ ต้องพยายามปฏิบัติตามแผนจะทำให้เราเข้าใจสภาพการเป็นอยู่ของตัวเราเอง

เราก็เข้าใจว่าเรามีความโลภ ความโกรธ ความหลง เรามีความต้องการความสุข ทุกคนก็ต้องการความสุขเหมือนเรา เราไม่ต้องการให้ใครมาว่าเรา ๆ ก็อย่าไปว่าคนอื่นก่อนเรื่องมันก็จบ เราต้องการให้คนอื่นพูดกับเราไพเราะเราก็พูดกับคนอื่นไพเราะก่อน เราต้องการให้คนอื่นเมตตาเราเราก็เมตตาคนอื่นก่อน เราต้องการให้คนอื่นให้เอภัยเราก็ให้อภัยคนอื่นก่อน เห็นไหมสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ที่การกระทำของเรา ๆ ต้องการให้คนอื่นพูดดีกับเราแต่เราไม่พูดดีกับคนอื่นไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเจ้านายหรือจะเป็นอะไรก็ตาม

การพูดจาชอบ คือการพูดจาที่ถูกต้องดีงามไม่เป็นเท็จ พูดจาซื่อตรง พูดจาอ่อนหวาน ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ แต่เดี๋ยวนี้พูดส่อเสียดกันเก่ง การพูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อคนในยุคปัจจุบันเก่งมาก ในการพูดที่ไม่ดีไม่รู้เรียนมาได้อย่างไร ยิ่งเรียนสูงยิ่งฉลาด การพูดส่อเสียดก็ฉลาดขึ้น พูดให้คนอื่นคิดเมื่อคนอื่นคิดก็ทุกข์ มันว่าเราสู้ว่ากันตรง ๆ ดีกว่ามันพูดส่อเสียดนี่รับไม่ได้ แต่ทุกคนก็ต้องเจอะ เมื่อเราต้องเจอะคนประเภทนี้ควรทำอย่างไรหรือเราพบคนประเภทนี้หรือเปล่า เราต้องมาดูกันก่อนแต่ถ้าเราเป็นประเภทนี้เราจักอยู่ประเภทฉลาดแต่มีความเห็นแก่ตัวสูง เราจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่เราจะไม่พบความสุขของชีวิตเลย เลือกเอาว่าเราจะเอาอะไร จะเอาทรัพย์ จะเอายศ จะเอาสรรเสริญอย่างนั้นหรือ สิ่งเหล่านี้เป็นของจอมปลอมไม่ยั่งยืนเลย

แต่สิ่งที่เป็นความสุขที่แท้จริง คือการเจริญเมตตา แต่ก็คิดว่าถ้าเราเจริญเมตตากับคนอื่นก็จะเสียเปรียบคนอื่นวันยังค่ำ แล้วคนที่โกงเราเอาเปรียบเราจะมีความสุขไหมมาดูซิ คนเสียเปรียบอาจจะมีความสุขมากก็ได้ เราจะต้องเปลี่ยนมุมมองกันใหม่แล้ว บางคนไม่ยอมรับอะไรจะเอาฉลาดกว่าคนอื่นอย่างเดียวมีความทันเกมส์ของเขาไปหมดทุกเรื่อง นึกว่ามันจะดียิ่งทันก็ยิ่งทุกข์ขึ้น เห็นอะไรก็เห็นแต่ความทุกข์มองออกไปก็เห็นแต่ความทุกข์ มองไปก็มองเป็นลบตลอดไม่มองสร้างสรรค์ เพราะมองสร้างสรรค์ที่ใดพลาดทุกที ทุกข์เลย ทุกข์ที่ไม่ทันกัน จะต้องมองกันและแก้ไม่ให้ทุกข์มันเกิด จะต้องคิดให้รอบครอบไม่คิดมากจะทำให้เกิดความเครียด สติก็เบื่อไปหมดไม่ตั้งมั่นเพราะไปคิดแต่เรื่องคนอื่น

กลัวมากกลัวความทุกข์จะเกิดขึ้นเลยกันมาก กันมากก็ทุกข์มากเพราะไปแก้ผิดใช้กันผิด ความทุกข์ที่ใจของเรามีความเห็นผิดไปแต่เราไปกันภายนอกไม่ได้ บอกมันไม่อยู่เพราะเราคิดอย่างไรคนอื่นก็คิดอย่างนี้เราคิดว่าคนอื่นไม่รู้ความคิดเราอันนี้ไม่ใช่ นั้นเราต้องคิดใหม่เสียแล้วเรารู้คนอื่นฉันใดคนอื่นก็รู้เราฉันนั้น เพียงแต่ว่าเราจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น เพราะอะไรเพราะเราก็รู้เราก็เป็นคนเขาก็เป็นคนเราจะไม่รู้เราเชียวหรือ เขาก็ต้องรู้เช่นกัน โบราณสอนไว้ว่า เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้าเหมือนกัน เรารู้เท่าใดคนอื่นก็รู้มากกว่าเราก็มี เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วก็อย่าทำเป็นคนฉลาดไปทุกเรื่อง บางทีก็แกล้งโง่บ้างก็ดีเหมือนกันจะทำให้ใจสบาย

อัตตาตัวตน ทิฐิมานะ ความเห็นผิดมันก็จะเกิดจากการที่ว่าเราฉลาดเราประสบความสำเร็จเราไม่เคยผิดหวัง อย่างใดทั้งสิ้น มีความปรารถนาสิ่งใดเราต้องการสิ่งนั้น ถ้าเราตั้งความคิดเห็นอย่างนี้มันผิดแน่นอนเพราะว่าความปรารถนาที่เราตั้งไว้ ย่อมเกิดผิดหวังด้วยเราจะสมใจปรารถนาไปทุกเรื่องเป็นไปไม่ได้ มันผิดต่อความเป็นจริงของธรรมชาติของมนุษย์อันนี้แหละที่ทำให้เราจะต้องมาคิดแล้วว่าเราต้องการอะไรในชีวิต เราทำงานต้องการงานและตำแหน่งหน้าที่ เอาเงินมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ต้องการความสุขจากการทำงานนั้น ๆ แต่เราก็ไม่เกิดความสุขจากการทำงานนั้น ๆ ทำงานไปก็เครียดไปอยากจะลาออก ถึงจะเปลี่ยนงานกี่แห่งก็ตาม ถ้าความคิดเห็นของเรามันผิดมันก็ยังทุกข์อยู่

มันไม่ใช่อยู่ที่งานมันอยู่ที่คนมันอยู่ที่เราเมื่อเราไม่มีสติปัญญา คือเราไม่มีความฉลาดในอารมณ์ของเราเอง ไม่ฉลาดว่านี่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงของเรา แต่เราไปฉลาดกับความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนอื่น เมื่อเขาเห็นแก่ตัวก็ทันเขา เขามีความโลภเท่าไร เขามีความโกรธเท่าไร เขามีความหลงเท่าไรก็ทันเขา ไปทันกับสิ่งเหล่านั้นของคนอื่นมันไม่มีประโยชน์อะไรยังเพิ่มความทุกข์ให้เราซะอีกเพิ่มความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เรา เพิ่มไปเรื่อย ๆ เรามาลดกันดีกว่า มาลดความโลภ ความโกรธ ความหลงของเรา มาลดความเห็นแก่ตัว

เรามาเจริญเมตตาให้อภัยกันอันนี้สำคัญจะทำให้จิตใจของเราไม่เร่าร้อนตอนนี้จิตใจของเรามันเร่าร้อนไม่เยือกเย็นเพระเราปรารภโลก ไปต้องการความปรารถนาสิ่งต่างๆ ความปรารภสิ่งต่างก็ยึดมั่นชีวิตของเรา ก็ไม่สมดุลถ้าต้องการชีวิตที่สมดุลเราจะต้องมีสติ ปรับอารมณ์ของเราใหม่ ปรับมุมมองดี ๆ ของเขา พระพุทธองค์สอนว่าถ้าจะมองคนอื่นมองส่วนดีของเขาอย่าไปมองส่วนที่ไม่ดีของเขา พยายามมองหาส่วนดีของเขาดีกว่าก็แล้วกันพยายามมองของบกพร่องของเราแทน ว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้างที่เราจะแก้ไข ถ้าเรามองว่าเราดีหมดข้อบกพร่องของเราก็ไม่อยากมอง ไม่อยากจะรู้ไม่อยากจะเห็นเลย อัตตาตัวตนของเราก็เพิ่มขึ้น ความทุกข์ก็เพิ่มขึ้น ทิฐิมานะก็เพิ่มขึ้น การให้อภัยก็ไม่เกิดขึ้น

การคิดอย่างนี้ไม่ถูกต้องเพราะถ้าเราคิดว่าเราถูกเสียแล้ว แต่เมื่อเรามามองให้เห็นความผิดของเราจริง ๆ เราอาจจะผิดมากกว่าคนอีกตั้ง 7-8 คน ทั้งนี้เพราะเรามีความเห็นผิด แต่เราก็ยิ่งกระต่ายขาเดียวว่าเราถูก ถ้าจะมาพินิจพิจารณาใหม่แล้วว่าทำไมเรามองอย่างนั้น ทำไมเรามองอย่างนี้เป็นเพราะอะไร อย่าเข้าข้างตัวเองนะ อย่าเข้าข้างคนอื่นทำจิตใจให้เป็นกลางไว้ มีสติมีปัญญาไว้พินิจพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ซึ่งความเป็นจริงของชีวิต เราจะต้องพิจารณาความแก่ความเจ็บความตายบ้างนะ ถ้าเราไม่พิจารณาก็คิดว่าเราจะอยู่ในโลกนั้นสบาย ๆ แต่ไม่แน่ความตายไม่เลือกกาลเวลา ตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เราจะต้องพร้อมที่จะตาย เราเคยได้ทราบข่าวไหมเพื่อนของเราตายบ้าง ญาติของเราตายบ้าง บางทีก็เห็นคนเหล่านั้นอายุยังน้อย ๆ อยู่เลย ตายด้วยอุบัติเหตุบ้าง ตายด้วยโรคมะเร็งบ้าง

ทุกคนก็รู้ว่าในสมันนี้ใครก็มีความเครียดมาก ความเครียดนี้ก็จะเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งเพราะความเครียดเมื่อเกิดขึ้นก็จะหลั่งสารก่อมะเร็งในร่างกายของเราให้มันตายเร็วขึ้น เพราฉะนั้นเราก็อย่าเครียด พยายามปล่อยวางในเรื่องราวต่าง ๆ พยายามปิดหู ปิดตา ปิดจมูก อย่าไปรับรู้เรื่องราวไปทุกเรื่องจะทำให้เกิดความทุกข์ ทุกวันนี้เราก็รู้มากมายเพราะยุคนี้เป็นยุคการสื่อสารไร้สาย การติดต่อทางโทรศัพท์ก็รวดเร็ว มีระบบอินเตอร์เน็ตอยากจะรู้เรื่องราวอะไรก็ใช้อินเตอร์เน็ตหา ยิ่งรู้ไปเท่าใดยิ่งเครียดเท่านั้นเพราะมันรู้เกินไป มันรู้เกินความจำเป็นของการเป็นอยู่ของมนุษย์มันเลยทำให้เกิดความเครียด

ทุกวันนี้เรามาปรับความคิดเห็นใหม่ ครูบาอาจารย์บอกว่าการเข้าวัดปฏิบัติธรรมสำคัญที่สุด คือเปลี่ยนความคิดคิดเห็นของเราให้ได้ ความคิดเห็นเดิม ๆ ของเราที่ผิดไม่เอาแล้ว เราจะต้องเปลี่ยนแนวความคิดของเราใหม่แล้วว่าเราดำเนินชีวิตของเราอย่างไรให้มีความสุขให้มีความสงบดีกว่าเพราะความสุขชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยอะไรเลย อาศัยจิตของเรานี้มีความเห็นที่ถูกต้อง มีความสงบ มีความเข้าใจความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งหลาย อาศัยมนุษย์ของเราเกิดมามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา และมีความตายเป็นธรรมดา ทุกคนก็รู้แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง รู้ด้วยสัญญารู้แล้วก็กลัวไม่อยากเจอะเจอสิ่งเหล่านั้นแต่เราก็ต้องเจอะ การพลัดพรากของรักของชอบใจเป็นทุกข์เราก็รู้แต่เราไม่ต้องการแต่มันก็ต้องเจอ มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ๆ ก็เป็นทุกข์เราก็ต้องเจอแต่เราก็อยากเจออย่างนี้ เราต้องเจอแล้วมันสุขหรือมันทุกข์ มันทุกข์

เราก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมันต้องเจอทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ทั้งถูกใจ ไม่ถูกใจ ชอบหรือชังเราก็ต้องเจอหมดแหละทำอย่างไรหละถ้าเราเจอสิ่งที่เราไม่ชอบเราจะทำอย่างไรให้ใจนั้นยอมรับอันนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามแล้ว พยายามทำให้มันยอมรับให้ได้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาว่า คนเราเกิดมานี้ไม่นานหรอกต้องจากโลกนี้ไป ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไปเราก็จะสร้างคุณงามความดีดีกว่า หาความสุขที่แท้จริงทำจิตใจของเราให้สงบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เพราะฉะนั้นเราพยายามหาความสงบดู ให้เรามาดูที่ลมหายใจ หายใจเข้าก็รู้ว่า หายใจออกก็รู้  พุทโธของเรา เรามาดูลมหายใจนี้แหละมันจะสงบ แล้วเราก็จะพบความสุขที่แท้จริงแน่นอน.

-------------------

view